เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ (Berkshire Hathaway Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลกของมหาเศรษฐีร่ำรวยมากที่สุดใน 10 อันดับแรกของโลก และเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอรุ่นลายครามวัยกว่า 90 ปี นายวอร์เรน บัฟเฟท์ เปิดเผยและยืนยันโดยโฆษกฝ่ายสื่อสารองค์กร ว่า เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ ขายหุ้นที่ถือลงทุนในส่วนที่เหลือทั้งหมดในบริษัทบีวายดี (BYD) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ หรือเอ็นอีวีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก การขายหุ้นบีวายดีทั้งหมดของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ ทำให้เป็นการปิดฉากการถือหุ้นลงทุนระยะยาวนานต่อเนื่องมาถึง 17 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2008 อย่างไรก็ตาม มูลค่าจากการลงทุนด้วยการถือหุ้นในบริษัทบีวายดีทำให้บริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ ได้รับผลตอบแทนกว่า 20 เท่าในช่วงเกือบ 2 ทศวรรษผ่านมา
ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ฮ่องกง หรือ ก.ล.ต. ฮ่องกง เปิดเผยว่า บริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ แจ้งรายงานในแบบฟอร์มการขายหุ้นบีวายดีทั้งหมด ส่งผลมูลค่าการลงทุนเป็นศูนย์เมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 1 หรือเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2025 ผ่านมา มูลค่าการลงทุนที่แจ้งดังกล่าวนั้นลดลงจากเมื่อสิ้นปี 2024 ที่ยังถือหุ้นลงทุนอยู่ที่มูลค่า 415 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 13,280 ล้านบาท ราคาหุ้นบีวายดีพุ่งทะยานมากกว่า 20 เท่านับตั้งแต่เข้าซื้อหุ้นครั้งแรกในปี 2008
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 หรือเมื่อ 17 ปีผ่านมานั้น นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ เข้าลงทุนในบีวายดีด้วยการซื้อหุ้นของบีวายดีจำนวน 225 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบีวายดี โดยจ่ายเงินลงทุนทั้งสิ้น 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 7,360 ล้านบาท เมื่อถึงเดือนมิถุนายน 2022 ราคาหุ้นบีวายดีพุ่งกระฉูดแตะหุ้นละ 331.40 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือหุ้นละกว่า 1,360 บาท ทำสถิติราคาหุ้นบีวายดีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลเป็นราคาหุ้นที่พุ่งรุนแรงถึง 41% จากราคาที่บริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ จ่ายเพื่อซื้อหุ้นบีวายดีในครั้งแรก
เมื่อมาถึงเดือนสิงหาคมปี 2022 บริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ ขายหุ้นบีวายดีออกไปส่วนหนึ่งจากที่ถือไว้ 225 ล้านหุ้น การขายหุ้นในเดือนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมูลค่าหุ้นบีวายดีพุ่งทะยานถึง 41% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีเดียวกันไปมีมูลค่าถึง 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 288,000 ล้านบาท เมื่อถึงเดือนมิถุนายนปี 2024 บริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ ขายหุ้นเกือบ 76% ของที่ถือลงทุนไว้ในบีวายดี ส่งผลให้จำนวนหุ้นที่เหลือลงทุนมีสัดส่วนลดต่ำกว่า 5% ของจำนวนหุ้นบีวายดีทั้งหมด จากการตรวจสอบพบว่าเหลือจำนวนหุ้นที่ลงทุนอยู่เพียง 54 ล้านหุ้น
นายหลี หยุนเฟ่ย ผู้จัดการทั่วไป บีวายดี ด้านการสร้างสรรค์แบรนด์ และประชาสัมพันธ์ โพสต์ข้อความในชื่อบัญชีเป็นทางการบนสื่อโซเชียลชื่อดังเว่ยป๋อ ว่า ขอบคุณบริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ สำหรับการลงทุน การช่วยเหลือ และการเป็นพันธมิตรมากกว่า 17 ปี การขายหุ้นถือเป็นการซื้อขายการลงทุนหุ้นตามปกติ
ในห้วงเวลาที่บริษัทเบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ ถือหุ้นในบีวายดีนั้น ราคาหุ้นของบีวายดีเติบโตกระฉูดมากถึง 3,890%
เมื่อวันที่ 11 กันยายนผ่านมา มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ กล่าวว่า ภาษีนำเข้ารถยนต์จีนปัจจุบันอยู่ที่ 20% อย่างไรก็ตามรถยนต์จีนกำลังเข้าสู่ตลาดภายในประเทศเม็กซิโก ซึ่งต่ำกว่าราคาอ้างอิง ดังนั้น รัฐบาลมีแผนที่จะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีน และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียรวมถึงไทยเป็น 50% ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ การขึ้นภาษีให้อยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่อนุญาต หากไม่มีการคุ้มครองในระดับหนึ่ง จะส่งผลต่อการแข่งขันไม่ได้เลย แผนดังกล่าวยังต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลครองเสียงข้างมากอย่างมาก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 กันยายนผ่านมา บลูมเบิร์ก ซึ่งเป็นสำนักข่าวด้านเศรษฐกิจการเงินการลงทุนชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า มูลค่าของบริษัทบีวายดีหดหายมากถึง 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.44 ล้านล้านบาทใน 24 ชั่วโมงผ่านมาถึงวันที่ 16 กันยายน สาเหตุจากราคาหุ้นบีวายดีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงถูกนักลงทุนเทขายมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นบีวายดีดำดิ่งมากกว่า 30% เทียบจากราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อ 4 เดือนผ่านมา หรือตั้งแต่พฤษภาคม 2025
สาเหตุที่นักลงทุนขายหุ้นบีวายดีต่อเนื่อง เป็นผลจาก แหล่งข่าวระดับสูงจำนวน 2 รายที่อยู่ในบริษัทบีวายดี จีน เปิดเผยว่า ฝ่ายบริหารระดับสูงได้ปรับลดเป้ายอดขายรถบีวายดีในประเทศจีนและทั่วโลกปี 2025 รวมกันลง 900,000 คัน หรือ -16% จากเป้ายอดขายเดิมที่กำหนดไว้ 5.5 ล้านคัน ส่งผลให้เป้ายอดขายลงมาอยู่ที่ 4.6 ล้านคัน ทำให้เป็นเป้ายอดขายเติบโตที่ 7% เมื่อเทียบกับจำนวนยอดขายรถจริงในปี 2024 ที่ผ่านไป นั่นหมายถึง บีวายดีกำลังเผชิญกับยอดขายรถในภาพรวมที่เติบโตน้อยที่สุดในช่วง 5 ปีผ่านมา หรือนับตั้งแต่ปี 2020 หรือตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19
สำหรับสาเหตุในการปรับลดเป้ายอดขายภาพรวมของบีวายดีในปี 2025 ลดลงถึง -16% นั้น วงการอุตสาหกรรมและตลาดรถในประเทศจีนมีความคิดเห็นตรงกันว่า ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศจีนมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่แข่งของบีวายดีในอันดับลดหลั่นลงมา ได้แก่ 2 แบรนด์สำคัญ คือซีจีลี่ ออโต้(Geely) และลีพมอเตอร์ (Leapmptor) ปรากฏว่า มียอดขายรถในประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางยอดขายรถของบีวายดีชะลอตัวลงในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
เมื่อเปรียบเทียบราคาของรถยนต์พลังงานใหม่ในกลุ่มรถประหยัดพลังงานที่มีราคาขายต่ำกว่าคันละ 150,000 หยวน หรือ 21,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 672,000 บาทในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ผ่านไปนั้น ปรากฎว่า บีวายดีมียอดขายลดลงมากถึง -9.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2024 ผ่านไป ในช่วงเวลาเดียวกันพบว่า จีลี่ ออโต้ มียอดขายรถในกลุ่มราคาดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นถึง 90% ด้านผู้บริหารระดับสูงของค่ายรถจีลี่ ออโต้ ประกาศปรับเป้าหมายยอดขายรถในภาพรวมปี 2025 ขึ้นอีก 290,000 คันหรือเพิ่มขึ้น 10.70% ส่งผลให้เป้าหมายยอดขายใหม่ขึ้นมาอยู่ที่ 3 ล้านคัน จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมียอดขายที่ 2.7 ล้านคัน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2025 ผ่านมา บีวายดีเปิดเผยรายงานการดำเนินงานด้านกำลังการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ หรือเอ็นอีวีในเดือนสิงหาคมที่ผ่านไปมีการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวี และรถยนต์พลังงานเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด รวมกันจำนวน 353,090 คัน ลดลงมากถึง -3.78% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคมในปี 2024 ผ่านมา นอกจากนี้จำนวนรถยนต์ที่บีวายดีผลิตในเดือนสิงหาคมยังลดลงต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคมอีกด้วยที่ผลิตลดลง -0.9%
ส่งผลให้กำลังการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ของแบรนด์บีวายดีลดลงต่อเนื่องถึง 2 เดือนติดต่อกัน ทำสถิติการผลิตรถของบีวายดีลดลง 2 เดือนต่อเนื่องเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีหรือตั้งแต่ปี 2020 หรือตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด โควิด-19 เป็นต้นมา สำหรับครั้งสุดท้ายที่บีวายดีผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ลดลง 2 เดือนติดต่อกันเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน และเดือน กรกฎาคมปี 2020
ธนาคารไชน่า เมอร์แชนท์ แบงก์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่าได้ทบทวนและตัดลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรถรถยนต์พลังงานใหม่ของค่ายบีวายดีในปี 2025 ลดลง 5% ส่งผลให้คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2025 นี้บีวายดีจะมียอดขายอยู่ที่ 4.9 ล้านคัน ธนาคารดอยช์แบงก์จากเยอรมนี คาดการณ์ว่าบีวายดีจะมียอดขายรถในภาพรวมปี 2025 เพียง 4.7 ล้านคัน สอดรับกับสถาบันการเงินชื่อดังที่มีชื่อว่า มอร์นิ่ง สตาร์ คาดการณ์ว่าบีวายดีจะมียอดขายในภาพรวมปีนี้อยู่ที่ 4.8 ล้านคัน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 บีวายดี (BYD) รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2025 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง พบว่า กำไรลดลงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2024 ส่งผลให้บีวายดีมีกำไรลดลงต่อเนื่องปีต่อปีนับตั้งแต่ปี 2022 หรือใน 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา
บีวายดีมีกำไรในไตรมาสที่ 2 คิดเป็นมูลค่า 6,400 ล้านหยวน หรือ 894 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 28,608 ล้านบาท นอกจากนี้ ยอดขายบีวายดีในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 200,900 ล้านหยวน หรือกว่า 914,095 ล้านบาท เติบโตเพียง 14% แต่อยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลง เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่หนึ่งในปีนี้ที่บีวายดีมียอดขายเติบโตมากถึง 36.35% สอดรับกับอัตราส่วนกำไรขั้นต้นของบีวายดีในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 16.27% ลดลงจาก 20.07% ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้
สาเหตุจากการแข่งขันด้านกลยุทธ์ราคาขายรถในตลาดจีนที่มีความรุนแรงและต่อเนื่องมาโดยตลอด เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อเดือนพฤษภาคมผ่านไปบีวายดีใช้โปรโมชั่นในการลดราคาขายลงมากที่สุดถึง 34% ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ผ่านไป บีวายดีประกาศขายรถอีวีซึ่งติดตั้งระบบช่วยขับอัตโนมัติที่มีชื่อเฉพาะเรียกว่าก๊อดอาย (God Eye) ในราคาขายที่สูงกว่า 100,000 หยวนเล็กน้อย หรือกว่า 455,000 บาท แต่ในความเป็นจริงกับมีราคาลดลงต่ำกว่าที่ได้ประกาศไว้
ด้านยอดขายในแง่จำนวนคัน บีวายดีมียอดขายรถในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 หรือระหว่างมกราคมถึงกรกฎาคม 2025 ผ่านไป ทำยอดขายทั่วโลกได้ 3,035,253 คัน ในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดขายส่งออกที่ 545,003 คัน หรือ 17.95% และยอดขายในจีนที่ 2,490,250 คัน หรือ 82.05% ของยอดขายรวมทั้งหมด ท่ามกลางเป้าหมายที่บีวายดีกำหนดไว้ในปีนี้ที่ 5.5 ล้านคัน ในจำนวนดังกล่าวเป็นเป้ายอดขายส่งออกที่ 800,000 คัน หรือ 14.54% ของเป้ายอดขายรวมทั้งหมด