สถาบันเศรษฐศาสตร์ มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ซึ่งอยู่ในเครือบริษัทมาสเตอร์การ์ดผู้ให้บริการบัตรเครดิตชื่อดังระดับโลกในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า การฉ้อโกงในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจบริษัททำทัวร์ และการจองแพคเกจทัวร์ เพิ่มสูงขึ้นถึงกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยการฉ้อโกงในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจประเภทอื่นๆ นอกจากนี้ พบว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกง เนื่องจากมีจำนวนการฉ้อโกงเพิ่มขึ้น 18% ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวหน้าร้อน และเพิ่มขึ้น 28% ในช่วงท่องเที่ยวฤดูหนาวในปี 2024 ผ่านไป
รายงานดังกล่าวของสถาบันเศรษฐศาสตร์ มาสเตอร์การ์ด พบนักท่องเที่ยวรายงานเมืองท่องเที่ยวที่พบการฉ้อโกงสูง ได้แก่ แคนคูน ประเทศเม็กซิโก ฮานอย ประเทศเวียดนาม ธากา ประเทศบังกลาเทศ และกรุงเทพมหานคร และภูเก็ตของประเทศไทย ในทางตรงกันข้าม เมืองท่องเที่ยวที่การฉ้อโกง หรือการหลอกลวงต่ำที่สุด คือซานฟรานซิสโก ประเทสหรัฐ ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ บูดาเปสต์ ประเทศสาธารณรัฐเช็ก และเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์
สำหรับประเทศไทย รายงานดังกล่าวเปิดเผย 2 จังหวัดท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพ และภูเก็ต ในกรุงเทพมหานคร พบว่า 5 อันดับปัญหาการฉ้อโกงหรือการหลอกลวงที่นักท่องเที่ยวพบเรียงตามลำดับ ดังนี้ อันดับ 1.แท็กซี่และธุรกิจรถเช่ามีปัญหาการฉ้อโกงมากที่สุดถึง 48% อันดับ 2.ธุรกิจอาหารมีถึง 34% อันดับ 3.ธุรกิจบริษัททำทัวร์หรือทราเวิลเอเจนซีมี 9% อันดับ 4.ธุรกิจโรงแรมและที่พัก และอันดับ 5.ธุรกิจการบินและรถไฟ สำหรับภูเก็ตนั้น พบว่า 3 อันดับปัญหาการฉ้อโกงหรือการหลอกลวงที่นักท่องเที่ยวพบเรียงตามลำดับ ดังนี้ อันดับ 1.ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบริการอาหารมีมากถึง 40% อันดับ 2.ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่พักมีถึง 39% และอันดับ 3. ธุรกิจบริษัททำทัวร์หรือทราเวิลเอเจนซีมี 19%
นายเดวิด แมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ มาสเตอร์การ์ด เปิดเผยว่า พฤติกรรมที่แสดงถึงการฉ้อโกง หรือการหลอกลงวงชัดเจน และเพิ่มมากขึ้น คือ เมื่อจ่ายเงินซื้อแพคเกจทัวร์เรียบร้อย จะพบว่าไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ เช่น ไม่พาไปเที่ยวยังสถานที่ที่บอกไว้ หรือให้บริการทัวร์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่สัญญาไว้ การฉ้อโกงจะแตกต่างกันไปในแต่ละเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะการฉ้อโกงยังพบในร้านอาหารที่อยู่ในบริการทัวร์ ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองลอส แองเจลิส สหรัฐอเมริกา
รายงานพบว่า 7 อันดับเกิดการฉ้อโกง หรือการหลอกลวงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เรียงตามลำดับ ดังนี้ ธุรกิจบริษัทจัดทำทัวร์หรือทราเวิลเอเจนซี ธุรกิจให้บริการสัมภาระกระเป๋า ธุรกิจรถแท็กซี่และรถเช่า ธุรกิจรถสายการบินและรถไฟ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้ายขายของที่ระลึกท่องเที่ยว และธุรกิจร้านอาหาร
สถาบันเศรษฐศาสตร์ มาสเตอร์การ์ด เปิดเผยต่อไปว่า ประเภทของการหลอกลวงที่พบบ่อยในแต่ละเมืองทั่วโลกมีความแตกต่างกัน เช่น ฮ่องกงพบปัญหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงและการหบอกลวงของรถแท็กซี่ และธุรกิจรถเช่าเพียง 2% แต่ปัญหาดังกล่าวกลับพบมากมายถึง 66% ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น นอกจากนี้ การฉ้อโกงในธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจบริการอาหารพบได้มากในสหรัฐ และตะวันออกกลาง เมืองนิวยอร์ก พบปัญหานี้มากถึง 63% ซึ่งรวมถึงร้านอาหารที่คิดค่าอาหารแพงเกินจริง หรือขโมยข้อมูลบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยว
ที่สำคัญ การฉ้อโกงในขั้นตอนการวางแผนท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่า 12% ในปี 2024 ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายที่ตกแต่งเกินจริง ลิงก์ปลอมเกี่ยวกับการจองโรงแรมหรือที่พักรวมถึงการเปิดเผยข้อมูลบัญชีธนาคารปลอม หรือกลลวงรูปแบบอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการฉ้อโกง และการหลอกลวง นักท่องเที่ยวสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล ซื้อประกันการเดินทาง หรือจองทริปด้วยบัตรเครดิต ที่มีระบบป้องกันการฉ้อโกง