ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชน และทัศนะของผู้ประกอบการในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2568 พบว่าประชาชนส่วนใหญ่วางแผนใช้จ่ายในการซื้อสินค้าเท่าเดิม และเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน มีการเตรียมเงินไว้ใช้จ่ายซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 35 แต่ยังมีความกังวล การขึ้นราคาสินค้าในช่วงเทศกาลและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่แพงขึ้นคาดว่า ช่วงตรุษจีน 2568 จะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 51,787 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 4.5 และสูงสุดในรอบ 5 ปี นับจากโควิด19 ระบาด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2568 ในครั้งนี้ ที่เม็ดเงินจากการจับจ่ายใช้สอยกลับขึ้นไปแตะระดับ 50,000 ล้านบาทอีกครั้งในรอบ 5 ปีนั้น แสดงให้เห็นว่า ประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 67 ที่รัฐบาลเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งบางมาตรการมีผลในไตรมาส 4/67 และบางมาตรการจะเริ่มมีผลในไตรมาส 1/68 โดยผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ มีผลช่วยแน่ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปีนี้เห็นการฟื้นตัวแน่นอน แต่ในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นจุด check point ซึ่งจะเริ่มเห็นชัดเจนว่านโยบายทรัมป์ จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทยบ้าง
นอกจากนี้ ยังประเมินผลกระทบกรณีดาราจีนถูกลักพาตัว บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา มองว่าไม่กระทบท่องเที่ยวไทยรุนแรง เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการเรียกความเชื่อมั่นได้รวดเร็ว ขณะเดียวกันได้คาดการณ์ขนาดผลกระทบไว้ 3 กรณี หากเกิดเหตุการณ์และมีผลกระทบ 1 เดือน จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไป 34,000 คน รายได้หายไปประมาณ 1,650 ล้านบาท หากกระทบ 2 เดือน นักท่องเที่ยวจีนจะหายไป 102,301 คน รายได้หายไปประมาณ 4,962 ล้านบาท กรณีแย่ที่สุด นักท่องเที่ยวจะหายไปเกือบ 3 แสนคน รายได้หายไปกว่า 14,000 ล้านบาท