ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 68 ยังเป็นอีกปีที่ยากลำบากสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศ จากปัจจัยรายล้อม ได้แก่ ปัญหาหนี้เสียที่สูง และกำลังซื้อที่อ่อนแอต่อเนื่องจากปีที่แล้ว, ปัญหาแผ่นดินไหวที่กระทบต่อรายได้ในภาคการท่องเที่ยว และการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยของสหรัฐฯ สูงถึง 36% กระทบต่อภาคการส่งออก ซึ่งทำให้ปัญหาความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ยังดำเนินต่อ แม้จะมีมาตรการรัฐ เช่น “กระบะพี่มีคลังค้ำ” ออกมา ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายกระบะได้แต่ไม่เต็มที่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานหลักยังอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์จะหดตัว แต่กลุ่มรถยนต์ xEV ที่ใช้พลังงานทางเลือกยังคงเติบโต ตามทิศทางความต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของผู้บริโภค นำโดยรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ BEV และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดตามลำดับ ซึ่งปัจจุบันยังทำตลาดในกลุ่มรถยนต์นั่งเป็นหลัก
โดยทิศทางดังกล่าว ทำให้ปี 68 รถยนต์นั่งกลุ่ม xEV คาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 55% ของยอดขายรถยนต์นั่งรวม ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์กลุ่ม xEV คาดว่าจะยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยมากเพียง 1% ของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์รวม
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามสัญชาติของค่ายรถยนต์ จะเห็นว่าค่ายรถญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำตลาดของไทยในปัจจุบัน เลือกทำตลาดรถยนต์ xEV ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดเป็นหลัก ส่วนค่ายรถยนต์จีน เน้นขายรถยนต์ BEV และเริ่มสร้างตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมากขึ้นในปีนี้ ขณะที่ค่ายรถยนต์ตะวันตก เน้นทำตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากงาน Motor Show 2025 พบว่า ค่ายรถยนต์จีนกำลังเร่งขึ้นมามีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไทยอย่างรวดเร็ว โดยยอดจองรถยนต์ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งล่าสุด พบจีนขยับขึ้นมามีส่วนแบ่งเกินครึ่งเป็นครั้งแรก ซึ่งเมื่อผนวกกับการเติบโตในอัตราเร่งของตลาดรถยนต์ xEV ในไทยดังกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ทำให้ค่ายรถยนต์จีน มีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไทยขึ้นสู่ระดับ 19% เนื่องจากจีนเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ BEV ในไทย และอนาคตอันใกล้ คาดว่าจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดด้วย
ในระยะถัดไป ประเด็นที่ควรต้องติดตาม ซึ่งอาจจะมีผลต่อทิศทางตลาดรถยนต์หากเกิดขึ้น เช่น การเจรจาของภาครัฐระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาลดภาษีนำเข้า ซึ่งจะช่วยอุตสาหกรรมผลิตเพื่อส่งออก มาตรการกระตุ้นการลงทุน การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจเพิ่ม รวมถึงมาตรการกระตุ้นตลาดรถยนต์เพิ่มเติมอย่าง โครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่” เป็นต้น