ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถบีอีวี (BEV) ไฟฟ้า 100%) ในตลาดประเทศอินโดนีเซียกำลังเบียดเข้าใกล้ยอดขายรถอีวีในตลาดประเทศไทย สาเหตุจากยอดขายรถบีอีวีในประเทศไทยทรงตัว ซึ่งตรงกันข้ามกับยอดขายรถอีวีในประเทศอินโดนีเชียที่คาดว่าจะเติบโตสูงต่อเนื่อง ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 พบว่า อัตราการเติบโตของยอดขายรถอีวีในไทยเฉลี่ยลดลงปีละ -1.1% ในขณะที่ของอินโดนีเซียกลับมียอดขายรถอีวีเติบโตเฉลี่ยปีละ +87.5% ในช่วงเวลา 3 ปีดังกล่าว เริ่มจากในปี 2566 ขายได้ราว 20,000 คัน ขึ้นมาเป็นตัวเลขคาดการณ์ประมาณ 80,000 คันในปี 2568 นี้
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายรถอีวีในประเทศอินโดนีเซียเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย พบว่า กลุ่มคนชั้นกลางมีจำนวน 49 ล้านคน ซึ่งมากกว่ากลุ่มคนชั้นกลางในไทยที่มีอยู่ 26 ล้านคน ซึ่งห่างกันเกือบ 1.9 เท่า ด้านการผลิตรถอีวีในอินโดนีเซียเมื่อปี 2567 มีจำนวนมากถึง 20,752 คัน ซึ่งมากกว่า 2.3 เท่าเมื่อเทียบกับการผลิตรถอีวีในประเทศไทยที่มีประมาณ 9,000 คัน ที่สำคัญ การผลิตแบตเตอรี่ใช้สำหรับรถอีวีนั้น สำหรับประเทศอินโดนีเซียมีการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำของอุตสาหกรรมดังกล่าว คิดเป็น 4-9% ของความต้องการแบตเตอรี่สำหรับรถอีวีในปี 2673 ของตลาดโลก ในขณะที่ประเทศไทย เกือบทั้งหมดจะเป็นการประกอบแบตเตอรี่มากกว่าการผลิตแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียเปรียบที่ชัดเจน และมีเพียงข้อเดียวของประเทศอินโดนีเซีย คือราคาขายรถอีวีมีราคาแพงกว่าในประเทศไทยเฉลี่ยราว 1.25 เท่า
ทั้งนี้ ด้านการตลาดรถอีวีในประเทศอินโดนีเซีย ปรากฏว่า มีหลายแบรนด์ที่มีแผนผลิตและจำหน่ายทั้งในไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งอาจมีผลต่อประเทศไทยที่เป็นฐานผลิตหลักเพื่อส่งออกของภูมิภาคอาเซียน