อินเทล อินคอร์ปอเรชั่น ยักษ์ใหญ่ผลิตไมโครชิปชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกาที่มีอายุมา 57 ปี เปิดเผยโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน หรือซีเอฟโอ นายเดวิด ซินส์เนอร์ ว่า เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2025 นี้ โดยจะมีจำนวนพนักงานถูกปลดออกมากถึง 22% หรือกว่า 21,400 คนภายในสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2025 นี้ การปลดพนักงานดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 รอบ โดยรอบแรกจะปลดออก 14,460 คน หรือ 15% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในปัจจุบันที่ 96,400 คน จากนั้นรอบสุดท้ายจะปลดออก 6,940 คน หรือราว 8% ส่งผลให้เหลือพนักงานในสิ้นปีนี้ตามเป้าหมายที่ 75,000 คน การปลดพนักงานครั้งใหญ่ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนบริษัทที่ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 61,750 ล้านบาท
การประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่คราวนี้นับเป็นครั้งแรกภายใต้การบริหารของนายลิพ-ปู ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอคนใหม่ ที่เข้ามารับตำแหน่งและเริ่มบริหารเมื่อเดือนมีนาคมผ่านมา สาเหตุการปลดพนักงานครั้งใหญ่มาจากการปรับโครงสร้างเปลี่ยนกลยุทธ์สำหรับการสร้างกำลังการผลิต รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตไมโครชิพของอินเทลเฉพาะเมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาด หรือในภูมิภาคนั้นๆ มีความต้องการไมโครชิพ ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่อินเทลจะทุ่มเงินลงทุนสร้างโรงงานก่อนที่ตลาดจะมีความต้องการใช้ไมโครชิพ
ดังนั้น อินเทลตัดสินใจชะลอการสร้างโรงงานในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา และหยุดแผนการสร้างโรงงานในเยอรมนี และโปแลนด์ นอกจากนี้ เตรียมควบรวมการปฏิบัติงานในการผลิตบรรจุภัณท์ของไมโครชิพที่คอสตาริก้ากับโรงงานของอินเทลในเวียดนาม และมาเลเซีย กลยุทธ์ดังกล่าวกลายเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากอดีตผ่านมาที่อินเทลมักจะคงระบบการผลิตแยกออกจากในแต่ละภูมิภาคของโลก เพื่อเป้าหมายของการสร้างความยืดหยุ่นสูงในเครือข่ายการผลิตของอินเทล
จากนี้ไป การลงทุนทุกอย่างของอินเทลต้องให้ประโยชน์และมีความหมายในแง่เศรษฐกิจด้วย นั่นหมายถึง อินเทลจะสร้างโรงงานก็ต่อเมื่ออะไร คือสิ่งลูกค้ามีความต้องการ และสร้างเมื่อถึงเวลาที่ต้องการ สำคัญที่สุด ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากลูกค้าตลอดแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ อินเทลเตรียมนำกระบวนการผลิตที่เรียกว่า สิบแปดเอ (18A) ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนที่มีวินัย และมีคุณภาพสำหรับไมโครชิพใช้สำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ จะส่งผลให้มีจำนวน หรือกำลังการผลิตของอินเทลเพิ่มมากขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2025 อินเทล อินคอร์ปอเรชั่น ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 พบว่าขาดทุนมากถึง 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 59,200 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากในช่วงเดียวกันเมื่อปีผ่านมา ที่มีกำไรสูงถึง 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 55,500 ล้านบาท ด้านรายได้รวมในไตรมาสที่ 2 ลดต่ำลง 1% เหลือเพียง 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 473,600 ล้านบาท จากเดิมที่ 12,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 477,300 ล้านบาท
ขณะที่ราคาหุ้นอินเทลดำดิ่งลงมากกว่า -20% มาเหลือหุ้นละ 23.82 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 880 บาท นั่นหมายถึงมูลค่าบริษัทอินเทล อินคอร์ปอเรชั่น เสียหายมากถึง 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 888,000 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี 2024 นี้มาถึงเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2024 ราคาหุ้นอินเทลดำดิ่งแรงกว่า -42%