ยูนิลีเวอร์ (Unilever) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชื่อดังระดับโลกจากยุโรป โดยมีแบรนด์มากกว่า 400 แบรนด์ในหลากหลายประเภทกลุ่มสินค้า เปิดเผยว่า เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่ชุดแรกจำนวน 3,200 คนในทวีปยุโรป ซึ่งคิดเป็น 43% ของจำนวนพนักงานที่ต้องถูกปลดทั่วโลกทั้งหมด 7,500 คน การปลดพนักงานในครั้งนี้ยังคิดเป็นสัดส่วน 32% ที่ถูกปลดออกจากพนักงานของยูนิลีเวอร์ในภูมิภาคยุโรปซึ่งมีพนักงานรวมกันระหว่าง 10,000-11,000 คน ในขณะที่ เมื่อเทียบกับจำนวนพนักงานของยูนิลีเวอร์ทั้งหมดทั่วโลกนั้น พบว่า พนักงานที่ตกงานชุดแรกในทวีปยุโรปนี้คิดเป็น 2.5% ของทั้งหมด
นายไฮน์ ชูมัคเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า สำหรับพนักงานที่เข้าข่ายตกงานในชุดแรกนี้จะเป็นพนักงานประจำในสำนักงานของบริษัทยูนิลีเวอร์ ซึ่งเป็นไปตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรซึ่งเคยแถลงนโยบายในเดือนมีนาคมผ่านมา นอกจากนี้ การปรับลดพนักงานออกในครั้งนี้เป็นไปตามแผนการเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการกำไรให้กับบริษัทฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ ยูนิลีเวอร์ประสบความล้มเหลวในการควบรวมกิจการในช่วงที่ผ่านมา
คอนสแตนทิน่า ทรีโบว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคล ยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า พนักงานทั้งหมดในชุดแรกจำนวน 3,200 คนจะได้รับการชี้แจงในต้นสัปดาห์หน้า และทยอยการปลดออกจากบริษัทจนกระทั่งสิ้นสุดในปี 2025
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2024 ผ่านมา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ นายไฮน์ ชูมัคเชอร์ กล่าวว่า การแยกธุรกิจไอศกรีมที่ลงมือทำทันที จะรวมถึงการแยกสำนักงานออกจากสำนักงานใหญ่ที่อัมสเตอร์ดัมด้วย แต่ได้เปิดทางเลือกให้ฝ่ายบริหารธุรกิจไอศกรีมได้ตัดสินใจว่าจะแยกสำนักงานไปตั้งที่ใดก็ได้ เมื่อดำเนินการตัดลดค่าใช้จ่ายควบคู่กับการแยกธุรกิจไอศกรีม ทำให้ตั้งเป้าหมายว่ายูนิลีเวอร์จะสามารถสร้างผลประกอบการโดยเฉพาะยอดขายทั่วโลกได้ถึงช่วงกลางของตัวเลขหลักเดียวได้ และทำผลกำไรปานกลางตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ซีอีโอยูนิลีเวอร์ กล่าวต่อไปว่า กลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น สบู่ยี่ห้อโดฟ มาร์ไมท์ และเฮลล์แมน จะถูกนำเสนอโปรแกรมตัดลดค่าใช้จ่ายในแบรนด์เหล่านี้ด้วย โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายที่ 800 ล้านยูโร หรือ 869 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 31,284 ล้านบาท ส่งผลให้ต้นทุนในการปรับโครงสร้างทั้งหมดจะคิดเป็น 1.2% ของผลการดำเนินงานในช่วงเวลานั้น
ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคม 2023 ผ่านมา ซีอีโอยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า บริษัทจะเน้นความสำคัญและให้น้ำหนักกับ 30 แบรนด์สำคัญของบริษัท ซึ่งทำยอดขายได้รวมถึง 70% ของยอดขายทั้งหมด นอกจากนี้ ยังได้ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงผลกำไรรวมของบริษัทให้ดีขึ้น และจะไม่ใช้นโยบายการควบรวมกิจการเพื่อสร้างผลประกอบการในทางก้าวกระโดด