เซาท์ ไชนา มอร์นิงโพสต์ ซึ่งเป็นสื่อและสำนักข่าวชื่อดังระดับเอเชียของจีน รายงานว่า สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime) หรือ ยูเอ็นโอดีซี (UNODC) ซึ่งเป็นองค์กรที่สังกัดกับองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น เปิดเผยว่า ความกังวลที่มีต่อการขยายตัวของอาชญากรรมข้ามชาติอย่างก้าวกระโดด ซึ่งพบว่ามีฐานอาชญากรอยู่ในอาเซียน กลายเป็นสิ่งที่น่าห่วงใยมาก และยังขยายขอบเขตข้ามไปยังแปซิฟิก เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้อีกด้วย มีการคาดการณ์ว่าประเทศในเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ต้องสูญเสียเงินจากการฉ้อโกงในโลกไซเบอร์สูงถึง 37,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาทในปี 2023 ที่สำคัญ เป็นมูลค่าความเสียหายที่สูงมากกว่าทั่วโลก
อาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบันได้กลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแม่น้ำโขง หรืออินโดจีน โดยสร้างรายได้คิดเป็น 40-60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของกลุ่มประเทศที่มีเครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ ซึ่งได้หลอกลวงเงินจากผู้คนทั่วโลกไปเป็นมูลค่า 50,000-75,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6-2.4 ล้านล้านบาทในแต่ละปี
กลุ่มอาชญากรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ปรับตัวและขยายรูปแบบอาชญากรรมอย่างรวดเร็วจากเดิมเป็นการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ไปเป็นการสร้างบ่อนคาสิโนที่ไม่มีการควบคุมจากทางการ รวมถึงการขยายเครือข่ายการพนันออนไลน์ พฤติกรรมของอาชญากรในภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นผู้นำด้านการฉ้อโกง และการหลอกลวงในโลกออนไลน์ ซึ่งดำเนินการโดยเครือข่ายค้ามนุษย์ บุคคลและองค์กรฟอกเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และนายหน้าข้อมูล เป็นต้น
การดึงดูดคนให้หลงผิดมาเข้าพวกอาชญากรรมในอาเซียน ทำโดยการรับสมัครที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีความซับซ้อนมากขึ้น กลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมากมายกว่า 60 ประเทศ ซึ่งมีความเก่งและความสามารถ แต่ต้องเผชิญกับการขาดโอกาสการทำงาน กลายเป็นเป้าหมายใหเหยื่อญ่ของกลุ่มอาชญากรนี้ เหยื่อเหล่านี้มีทั้งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำผิดกฎหมายโดยสมัครใจ และมีทั้งถูกข่มขู่กรรโชกและเรียกค่าไถ่ ถูกทำร้ายร่างกายด้วยการทุบตี ทรมาน และหากไม่ยินยอม ในที่สุดก็ถูกสังหาร
กลุ่มอาชญากรเหล่านี้ในอาเซียนได้พัฒนาระบบประมวลผลการชำระเงิน และตั้งศูนย์ซื้อขายเงินคริปโทเคอร์เรนซีที่ไม่ได้รับอนุญาต และผิดกฎหมาย รวมถึงใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ เพื่อการเรียนรู้ เก็บรวบรวมข้อมูลของเหยื่อเพื่อในการสร้างคลิปปลอมของตัวบุคคลที่คนๆ นั้น ไม่เคยมีพฤติกรรมแปลกมาก่อน หรือ Deep Fakes ทั้งหมดทำเพื่อกระตุ้นให้เกิดการขายสินค้าและบริการที่เป็นการฉ้อโกง และผิดกฎหมาย