นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบไม่มากไปกว่าประเทศอื่น แต่หากเตรียมมาตรการรองรับได้ดี อาจจะได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเบื้องต้นเศรษฐกิจไทยจะสะดุดไปอย่างน้อยประมาณ 2 ปี โดยเฉพาะภาคการส่งออก และภาคแรงงาน
กระทรวงการคลังจึงมอบนโยบายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเร่งพิจารณาใน 2 ด้าน ได้แก่ ให้ช่วยผู้ส่งออกโดยตรงที่ได้รับผลกระทบ และให้พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือไปถึงคู่ค้าของผู้ส่งออก หรือกลุ่มซับพลายเชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ธนาคารรัฐต้องดูแลช่วยเหลือว่ามีธุรกิจส่งออกอะไรบ้างที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงธุรกิจเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่อาจจะทะลักเข้ามาจากต่างประเทศ
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวต่อไปว่ากระทรวงการคลังมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง ปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยการลดเป้าหมายกำไรจากการทำธุรกิจ เพื่อจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยสถาบันการเงินทั้ง 7 แห่งอยู่ระหว่างการเตรียมดำเนินการตามนโยบาย
ทั้งนี้ ในระยะต่อไปจะหารือถึงผลกระทบกับกลุ่มแรงงานว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งงานไว้ได้หรือไม่จากผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการหารือในการประชุมรอบต่อไป