ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านไป พบว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 78.26 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.28 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 2 วันติดกันรวม -0.61 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.00% ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 83.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.06 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งปิดร่วงลง -3% และ -2% ตามลำดับ
สาเหตุจากรายจ่ายส่วนตัวชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ในระดับเบาบาง สะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนตัวลงจากการใช้จ่าย ซึ่งกระทบต่อความต้องการบริโภคน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม กลุ่มโอเปกพลัสอาจจะมีมติขยายมาตรการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจของกลุ่มโอเปกพลัสออกไปถึงสิ้นไตรมาสที่ 2 ปีนี้ โดยมาตรการดังกล่าวมีผลตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปีนี้ หลังจากเห็นตรงกันและมีมติร่วมกันเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2023 เป็นต้นมา ทำให้กลุ่มโอเปกพลัสลดกำลังการผลิตลงมากถึงวันละ 2.2 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ รัสเซียประกาศยกเลิกส่งออกน้ำมันเบนซินเป็นเวลานาน 6 เดือน เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันเบนซินในประเทศมีราคาแพง
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ ได้ปรับลดการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปีนี้ที่จะเพิ่มขึ้นโดยลดลงจากเป้าเดิมที่ 1.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาเหลือที่ 1.22 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่สถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางยังคงมีต่อเนื่อง
เมื่อสิ้นสุดปี 2023 พบว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ปิดลดลงกว่า -10% ทำสถิติราคาน้ำมันดิบปิดรายปีลดลงในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา สำหรับในปี 2022 นั้น ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิด +7% สอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิด +10%
ทั้งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2022 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน และในปี 2022 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล