ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 ราคาน้ำมันดิบ ไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 71.85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.11 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.6% ส่งผลราคาปิดขึ้น 2 วันติดกันรวม +1.76 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.1% ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 75.84 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.8% ส่งผลราคาปิดขึ้น 2 วันติดกันรวม +1.10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.6%
ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้งสองตลาดสำคัญปิด -0.37% และ +0.11% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ปิดลดลงสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ในปี 2024 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดสุทธิลดลง 3% เมื่อเทียบกับปี 2023 ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ มีราคาปิดสุทธิเสมอตัวกับในปี 2023
สาเหตุจากยูเครนใช้โเรนติดขีปนาวุธโจมตีคลังน้ำมันดิบในรัสเซียบริเวณทะเลแคสเปียน สร้างความเสียหายให้กับท่อส่งน้ำมันดิบของกลุ่มบริษัทร่วมค้าพลังงานชื่อว่าแคสเปียน ไพป์ไลน์ คอนซอเตียม ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบจากประเทศคาซัคสถานไปสู่ตลาดโลกหดหายไปราว 30-40% จากภาวะปกติ หรือหายไปวันละ 380,000 บาร์เรล นอกจากนี้ ท่าเรือขนถ่ายน้ำมันดิบในทะเลดำของรัสเซียหยุดทำการเนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุรุนแรง นอกจากนี้ ภาวะอากาศหนาวเย็นจัดในรัฐดาโกต้า สหรัฐอเมริกา กระทบกำลังการผลิตน้ำมันดิบขององค์การท่อส่งน้ำมันดาโกต้าเหนือ ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบลดต่ำลงวันละ 150,000 บาร์เรล
ก่อนหน้านี้ สำนักจัดการข้อมูลพลังงานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ USEIA เปิดเผยว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือตั้งแต่ปี 2022 เมื่อวานนี้ ได้คาดการณ์การบริโภคน้ำมันดิบสหรัฐอเมริกาจะคงที่วันละ 20.5 ล้านบาร์เรลในปีนี้ และปี 2026 ในขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 13.52 ล้านบาร์เรลในปี 2025 นี้ ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบของก๊าซพรอม เนฟท์ ซี่งเป็นรัฐวิสาหกิจพลังงานใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซีย และเซอร์กัทเนฟเทก๊าซ รวมถึงกองเรือเงาขนส่งน้ำมันดิบจำนวน 183 ลำของประเทศรัสเซีย
ด้านสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออึเอ เปิดเผยการคาดการณ์ว่า ในปี 2025 จะเกิดภาวะตลาดน้ำมันดิบล้นตลาด หรือเกินความต้องการบริโภคที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถ้ากลุ่มโอเปกพลัสมีมติเริ่มทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในเดือนมีนาคมปี 2025 หากกลุ่มโอเปกพลัสยังคงมติลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเมื่อถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 ในปีหน้า ภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นมาเป็นวันละ 950,000 บาร์เรล
กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดตัวเลขคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2024 และปี 2025 ครั้งใหม่ ซึ่งนับเป็นการปรับลดตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งที่ 5 ต่อเนื่อง สำหรับในปีนี้ ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.61 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.45 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.54 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะที่ในปี 2025 กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดตัวเลขคาดการณ์ใช้น้ำมันดิบของจีนจากเดิมจะเพิ่มขึ้นวันละ 580,000 บาร์เรล ลงมาอยู่ที่เพิ่มขึ้นเพียงวันละ 480,000 บาร์เรล หรือลดลง 100,000 บาร์เรลต่อวัน
กลุ่มโอเปกพลัสมีมติต่ออายุมาตรการลดกำลังการผลิตออกไปเป็นไตรมาสที่ 1 ในปี 2025 หรือถึงสิ้นเดือนเมษายนปี 2025 นับเป็นการตัดสินใจครั้งที่ 3 ต่อเนื่องในการขยายเวลามาตรการดังกล่าว ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดที่จะมีขึ้นในปี 2025 มีความชัดเจนมากขึ้น
สำนักพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ในปี 2025 จะเกิดภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดราว 1 ล้านบาร์เรล ถึงแม้ว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่องก็ตาม สาเหตุมาจากสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบมากขึ้นจากนโยบายด้านพลังงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการผลิตพลังงานจากฟอสซิล
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2022 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน และในปี 2022 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันมีผลวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ โดยลดราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 40-50 สตางค์/ลิตร ไม่เพียงเป็นการลดราคาน้ำมันขายปลีกครั้งที่ 4 ของปี 2025 แต่ยังเป็นการลดราคาครั้งที่ 2 ต่อเนื่อง ส่งผลเป็นราคาขายปลีกต่ำสุดใน 3 เดือน หรือตั้งแต่ 5 พฤศจิกายน 2024