นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ช่วงเดือนสิงหาคม โดยเฉพาะในสัปดาห์วันแม่แห่งชาติ ถือเป็นช่วง “พีก” ของความต้องการดอกมะลิ ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยพุ่งสูงขึ้น โดยจากข้อมูลปี 2567/2568 พบว่า ราคาดอกมะลิมีความผันผวนตามฤดูกาล โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 500 – 1,000 บาท/กิโลกรัม เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตน้อย ส่วนในช่วงเดือนมีนาคม – กรกฎาคมและเดือนกันยายน – ตุลาคม เฉลี่ยอยู่ที่ 200 – 500 บาท/กิโลกรัม
ซึ่งในช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นเทศกาลวันแม่แห่งชาติ ราคาดอกมะลิจะปรับตัวสูงขึ้นช่วงระยะสั้น เนื่องจากความต้องการของตลาดเพิ่มสูงกว่าปกติ เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม
ล่าสุดเว็บไซต์ของปากคลองตลาดแจ้งราคาดอกมะลิไทยอยู่ที่กิโลกรัมละ 1,000 บาท
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรยังคงเผชิญความผันผวนของราคาและความไม่แน่นอนด้านผลผลิตตลอดปี ทั้งจากสภาพอากาศที่แปรปรวน โรคพืช และข้อจำกัดด้านตลาด โดยข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ปี 2567 ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรผู้ปลูกมะลิประมาณ 929 ราย ครอบคลุมพื้นที่เก็บเกี่ยวประมาณ 1,845 ไร่ ในจังหวัดสำคัญ เช่น นครปฐม นครสวรรค์ กำแพงเพชร และพิจิตร โดยผลผลิตเฉลี่ยปี 2567/2568 อยู่ที่ 500–600 กิโลกรัมต่อไร่ ลดลงกว่า 43.59% เมื่อเทียบกับปีก่อน อันเป็นผลจากโรคระบาดและสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการออกดอก
กรมส่งเสริมการเกษตรจึงมีมาตรการส่งเสริมทั้งด้านการผลิตและจำหน่ายใน “โครงการทดสอบและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตมะลิ” ตลอดปี 2568 โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น การตัดแต่งกิ่งรูปทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่า เพื่อกระตุ้นการออกดอก ,การใช้สารชีวภัณฑ์แทนสารเคมี ลดต้นทุนและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ตลอดจนผลักดันให้เกษตรกรเข้าถึง ตลาดชุมชน ตลาดเฉพาะทาง ตลาดสี่มุมเมือง ปากคลองตลาด และตลาดจังหวัด เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่าย และลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง พร้อมทั้งเชื่อมโยงแหล่งผลิตกับตลาดปลายทางโดยตรงในช่วงเทศกาล เพื่อให้ ราคาส่งเป็นธรรม และผู้บริโภคสามารถซื้อดอกมะลิคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือให้เกษตรกรสามารถผลิต–จำหน่าย ดอกมะลิได้อย่างมั่นคง แม้ไม่มีเทศกาลเพื่อให้ราคาดอกมะลิสะท้อนต้นทุนที่เป็นธรรมและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน