นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธนาคารสามารถบริหารจัดการหนี้เสียให้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สิ้นปี 2566 ยอดหนี้เสียอยู่ที่ 8.28% ของสินเชื่อคงค้าง 1.3 แสนล้านบาท จากที่เคยอยู่ในระดับสูงสุดราว 22% ของสินเชื่อคงค้าง ทั้งนี้ หนี้เสียดังกล่าว ธนาคารได้ดำเนินการตั้งสำรองมาตรฐานบัญชีสูงกว่า 103% ถือว่า มีความแข็งแกร่งแล้ว
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ระดับหนี้เสียของธนาคารได้ทยอยลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 สามารถปล่อยสินเชื่อแก่เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 7 หมื่นล้านบาท สร้างสถิติใหม่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารมาใน 22 ปี และมีกำไร 613 ล้านบาท ส่วนปี 2567 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ราว 9 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี ธนาคารยังมีลูกหนี้เอสเอ็มอีที่มีความอ่อนแอและอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
นโยบายการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์(เอเอ็มซี)ของสถาบันการเงินของรัฐนั้น ธนาคารยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในกรณีดังกล่าว แต่ถ้าในสมาคมสถาบันการเงินของรัฐมีการเชิญชวน แบงก์เราก็สนใจ โดยมีแผนจะตัดหนี้ขายให้เอเอ็มซีประมาณ 8 พันล้านบาท จากมูลหนี้ที่มีการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2563-2566) ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด ธนาคารได้ช่วยเหลือดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องให้สามารถประคับประคองธุรกิจ โดยเติมทุนช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 2.3 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดประโยชน์สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท และช่วยรักษาการจ้างงานได้ประมาณ 7.5 แสนราย ควบคู่กับช่วยพัฒนาเสริมศักยภาพ
นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการด้วยการจัดอบรมสัมมนา ช่วยขยายตลาด ยกระดับมาตรฐาน สนับสนุนเข้าถึงนวัตกรรม พาจับคู่เพิ่มช่องทางขายในและต่างประเทศเป็นต้น มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วมและได้รับประโยชน์มากกว่า 75,000 ราย