วันที่ 13 มิถุนายน นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่าไตรมาส 3 ที่จะมาถึงนี้ ธุรกิจร้านอาหารในไทยจะถึงจุดชี้เป็นชี้ตาย จะได้เห็นร้านอาหารขนาดใหญ่ๆ ที่เปิดมานานตั้งแต่ 10-20 ปี ที่อยู่เคยอยู่ได้เพราะพึ่งตลาดการท่องเที่ยวนั้น จะปิดตัวลงอีกหลายร้าน ปัจจัยลบที่มองไว้ คือ จากนี้ไปในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีนี้หน้า เศรษฐกิจไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่กลับมา
คาดว่าในไตรมาสที่ 3 นี้ ร้านอาหารในไทยจะทรุดหนักมากขึ้น เจ้าของร้านอาหารจึงมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะตัดสินใจปิด แต่ถ้ายังเปิดต่อไป ต้องยอมรับสภาพขาดทุน เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น วัตถุดิบ ค่าจ้าง ที่สำคัญ ค่าเช่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญมากซึ่งตายตัว ทำให้ร้านอาหารที่อยู่ในห้างหรือตามคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งถูกล็อกด้วยค่าเช่าต้องทำโปรโมชั่น เช่น แคมเปญลดราคา เพื่อพยุงร้านให้อยู่รอด ส่วนร้านอาหารขนาดเล็กๆ ร้านอาหารประเภทสตรีทฟู้ดตกอยู่ในภาวะอยู่ลำบากด้วย
กรณีความช่วยเหลือจากมาตรการของรัฐบาลนั้น สมาคมภัตตาคารไทย มองว่า มาตรการเที่ยวคนละครึ่งที่รัฐจะออกมาเดือนกรกฎาคมนี้ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยเฉพาะการขอเงินคืนเหมือนครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่าร้านอาหารจำนวนมากจะไม่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งเป็นจุดที่ยุ่งยากและใช้เวลานานมากกว่าในการได้รับเงินคืนท่ามกลางเงินหมุนที่ตึงตัวและยากมากขึ้น เนื่องจาก กำลังซื้อและยอดขายของร้านอาหารในปี 68 นี้ ลดลงหนักสุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่โควิด-19 ผ่อนคลายลง กำลังซื้อของคนไทยจะเห็นได้ชัดเจนว่าลดลงนับตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทุกวันนี้ตามต่างจังหวัด ปรากฏว่าคนมีกำลังซื้อหายไปถึง 80% ส่วนคนในกรุงเทพมีกำลังซื้อหดหายไปกว่า 50%
ในสัปดาห์นี้ ร้านอาหารที่มีชื่อเสียง และเปิดมานานหลายปีในกรุงเทพได้ประกาศเลิกกิจการ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ผ่านมา ร้านลาวาชาบู ซึ่งเป็นร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์อยู่ในย่านอุดมสุข และเปิดมากว่า 10 ปี ประกาศเตรียมปิดกิจการแล้ว โพสต์ข้อความว่า ร้านลาวาชาบูจะเปิดให้บริการวันสุดท้ายในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 และจะปิดกิจการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เนื่องด้วยต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ วัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนหน้านี้ร้านลาวาชาบูปรับราคาค่าอาหารขึ้นมาแล้ว และขอคิดค่าบริการสำหรับลูกค้าที่มารับประทานคนเดียวเพิ่ม 30 บาท