นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการประชุม สัมมนาเชิงปฏิบัติการ “ขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ปี 2567 และปี 2568 พร้อมระบุว่า ระหว่างวันที่ 24 – 29 ม.ค.2567 กระทรวงฯ ได้จัดให้มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หรือ Workshop เรื่อง การขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน ปี 2567 และปี 2568 เพื่อให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมนำนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้มอบไว้สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 – 2568 ไปแปลงเป็นแผนปฏิบัติการหรือ Action Plan
สำหรับการจัดทำ Action Plan ทุกหน่วยงานจะได้ร่วมกันระดมความคิดเห็นตลอดช่วงเวลาของการ Workshop ครั้งนี้ ตนได้มอบนโยบายให้เน้นย้ำการผลักดันนโยบาย Quick Win 2567 และ 2568 โครงการสำคัญ 72 โครงการ วงเงินลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านบาทให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลนี้ โดยโครงการดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. โครงการที่มีความสำคัญเชิงพื้นที่จำนวน 13 โครงการ 2. ด้านคมนาคมขนส่งทางบกจำนวน 29 โครงการ 3. ด้านคมนาคมขนส่งทางราง จำนวน 22 โครงการ 4. ด้านคมนาคมขนส่งทางอากาศ จำนวน 4 โครงการ และ 5. ด้านคมนาคมขนส่งทางน้ำจำนวน 4 โครงการ
นอกจากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณานโยบายของนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคมโดยเฉพาะเรื่องต่างๆ ประกอบด้วย 1. นโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค 2. บูรณาการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับเส้นทางในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกับจีนตอนใต้ (รถไฟไทย – สปป.ลาว – จีน) โครงการ EEC และเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่นๆ และ 3. ให้ความสำคัญกับโครงการแลนด์บริดจ์ เปิดประตูการค้าสองฝั่งสมุทรทางภาคใต้
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า เป้าหมายสำคัญของการขับเคลื่อนโครงการลงทุนด้านคมนาคม ต้องนำไปสู่เป้าหมายลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้ได้มากที่สุด เทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ ในระดับสากล ซึ่งมีสัดส่วนต้นทุนด้านโลจิสติกส์คิดเป็น 9.5 – 9.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ขณะที่ไทยปัจจุบันยังมีต้นทุนโลจิสติกส์คิดเป็น 11 – 12% ของจีดีพี เพราะที่ผ่านมาไทยใช้การขนส่งและการคมนาคมทางถนนเป็นหลัก ยังไม่นิยมใช้ระบบรางที่ทำให้สามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้
“โจทย์สำคัญที่เราตั้งเป้าไว้ภายใน 5 – 6 ปีนี้ จะต้องผลักดันการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้เทียบเท่ากับสากล โดยจะต้องอยู่ในระดับ 9.5 – 9.8% ซึ่งปัจจัยสำคัญคือการเร่งลงทุนระบบรางให้มากขึ้น โดยแผนลงทุนในปี 2567 – 2568 จะยังมีโครงการระบบรางรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 รวมไปถึงการผลักดันรถไฟฟ้าให้ถึงเป้าหมาย 554 กิโลเมตร”
ส่วนโครงการลงทุนทางอากาศได้มอบนโยบายให้เร่งพัฒนาขีดความสามารถและบริการของสนามบิน สู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่โครงการลงทุนทางน้ำ ต้องมองโอกาสการขยายท่าเรือเพื่อรองรับกลุ่มเรือสำราญขนาดใหญ่ ที่พบว่ามีแนวโน้มการขยายตัวมากขึ้น ส่วนการลงทุนทางบก ยังคงเร่งพัฒนาโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ให้เปิดบริการตามแผน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่างบประมาณปี 2567 จะดีเลย์ออกไปแต่กระทรวงฯได้กำชับทุกหน่วยงานให้เตรียมพร้อมเมื่องบประมาณได้รับจัดสรรแล้วจะต้องเดินหน้าทันทีเพราะปัจจุบันเชื่อว่าเอกชนก็พร้อมประมูลงาน
ข้อมูลจากรายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทยประจำปี 2565 Thailand’s Logistics Report 2022 (เผยแพร่เมื่อก.ย.2566) จัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ระบุว่า ในปี 2565 ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยคาดว่ามีมูลค่ารวม 2,382.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 สัดส่วน 5.8% หรือคิดเป็นสัดส่วน 13.7% ต่อ GDP ขณะที่ คาดการณ์ปี 2566 สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยจะอยู่ที่ 13.3 – 13.8% ต่อ GDP