ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 39,737 จุด -610 จุด หรือ -1.51% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,346 จุด -100 จุด หรือ -1.84% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 16,776 จุด -417 จุด หรือ -2.43% โดยเฉพาะดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดิ่งเหวลึกสุดระหว่างวันถึง -989 จุดในคืนผ่านมา ขณะที่ในเดือนสิงหาคม ซึ่งผ่านมาครบ 2 วันทำการ ยังพบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดร่วงแรง -3.6%, -4.0% และ -5.1% ตามลำดับ
เมื่อปิดตลาดคืนผ่านมา พบว่า ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งเหว 2 วันติดกันรวมกว่า -1,000 จุด และปิดหลุดระดับ 40,000 จุดครั้งใหม่ ด้านดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดดิ่งเหว 2 วันติดกันรวมกว่า -800 จุด และปิดหลุดระดับ 17,000 จุดครั้งใหม่ ที่สำคัญ ดัชนีหุ้นนาสแดคเข้าสู่ภาวะปรับฐานเป็นทางการ หรือ Correction เนื่องจากดัชนีดังกล่าวดำดิ่งหายไปกว่า 10% เทียบจากสถิติดัชนีหุ้นนาสแดคสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์
สถานการณ์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ เข้าสู่ภาวะขาลงอย่างรุนแรง จากในคืนผ่านมานั้น ดัชนีหุ้นนาสแดคกลายเป็นดัชนีหุ้นแรกที่เข้าสู่ภาวะปรับฐานเป็นทางการ หรือ Correction ในขณะที่ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง -3.9% และ -5.7% เทียบจากสถิติดัชนีหุ้นหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์
สาเหตุจากนักลงทุนไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจสหรัฐ และผิดหวังอย่างมากต่อผลประกอบการของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่หลายแห่ง เริ่มจาก ยอดจ้างงานชาวอเมริกันนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 คน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มากที่ระดับ 175,000 คน นอกจากนี้ อัตราการว่างงานในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ทำสถิติว่างงานสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปีผ่านมา และยังเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันด้วย นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 4 เดือน หรือตั้งแต่กุมภาพันธ์ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น อายุ 10 ปี ปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 4% ต่อเนื่อง ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หรือตั้งแต่ธันวาคม 2023
ด้านราคาหุ้นของบริษัทอินเทล อินคอร์ปอเรชั่น ถูกกระหน่ำเทขายทั้งคืนผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นอินเทลดำดิ่งรุนแรงถึง -27% มาเหลือเพียงหุ้นละ 21.22 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 764 บาท ทำสถิติราคาหุ้นที่ดำดิ่งเลวร้ายต่ำสุดในรอบ 50 ปีของอินเทล หรือนับตั้งแต่แต่ปี 1974 เป็นต้นมา ทำให้ขณะนี้มูลค่าบริษัทอินเทล อินคอร์ปอเรชั่น ทรุดต่ำกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือต่ำกว่า 3.6 ล้านล้านบาท สาเหตุจากผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะกำไรทรุดดิ่งกว่า 80% ถึงกับงดจ่ายเงินปันผลในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ และประกาศปลดพนักงานกว่า 15,000 คนขึ้นไปภายในสิ้นปีนี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า การลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐที่หลายคนมั่นใจว่าจะลดครั้งแรกในเดือนกันยายนนี้ เป็นการลดดอกเบี้ยที่ช้าเกินไปหรือไม่ ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่แน่นอน นักลงทุนรอการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนกรกฏาคมของสหรัฐในคืนวันนี้
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในเดือนกันยายนอยู่ที่ 88% จากเดิมที่ 98% ขณะที่ โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในธันวาคมอยู่ที่ 72% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 50%
สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปรากฎว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +1.1%, +3.5% และ +6% ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นปิดรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันจากทั้งหมดใน 8 เดือนผ่านมา อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 พบว่า ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นปิดสวนทางกัน -1.7%, +3.9% และ +8.3% ตามลำดับ นอกจากนี้ สิ้นสุดครึ่งปีแรก หรือนับตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงปัจจุบัน พบว่า ดัชนีสำคัญดังกล่าวปิดเพิ่มขึ้น +3.8%, +14.5% และ +18.1% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติทั้งในรายไตรมาส และรายเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 โดยในรายไตรมาสนั้น ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.4%, +10.2% และ +9.1% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2021 สอดรับกับรายเดือน ปิดเพิ่มขึ้น +2.1%, +3.1% และ +1.8% ตามลำดับ