ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 38,272 จุด -524 จุด หรือ -1.35% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,953 จุด -68 จุด หรือ -1.37% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 15,655 จุด -286 จุด หรือ -1.80% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดำดิ่งหนักสุดใน 1 วันในรอบเกือบ 1 ปี หรือตั้งแต่มีนาคม 2023 ขณะที่ ดัชนีหุ้นนาสแดคยังห่างจากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ที่ระดับ 16,057 จุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2022 และสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติศาสตร์ที่ระดับ 16,121 จุด
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดขึ้น +0%, +1.4% และ +2.3% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังเป็นดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ที่ปิดเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันด้วย
สาเหตุจากกระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปเดือนมกราคม 2024 พบว่า เพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบเดือนก่อนหน้านึ้ และยังเพิ่มขึ้น 3.1% คาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ 2.9% เมื่อเทียบเดือนเดียวกันกับในปี 2566 นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคขั้นพื้นฐานเดือนมกราคม 2024 ยังพบว่าเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนธันวาคม 2023 ที่ขยายตัว 0.3% ขณะที่ เพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023
ในสัปดาห์ผ่านไป ประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวลล์ กล่าว่า เฟดยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม และต้องระมัดระวังการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าว ส่งผลไปถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องถึง +0.5% ทำสถิติแข็งค่ามากสุดในรอบ 3 เดือน และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นอายุ 10 ปี ปรับสูงขึ้นในรอบเกือบ 2 สัปดาห์
ทั้งนึ้ ด้านตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสเริ่มปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ของเฟดในการประชุมเดือนพฤษภาคม ปี 2024 อยู่ที่ 57% ลดลงจากเดิมที่ระดับ 61%