นพ.วีรพันธ์ สุวรรณนามัย รองประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความ มีดังนี้ เรื่องจริง! อีก 3 ปี ระบบสาธารณสุขจะพัง ในขณะที่ประชาชนยังไม่รู้ตัว! ทุกวันนี้หลายคนยังรู้สึกอุ่นใจว่า “ไปโรงพยาบาลแล้วรักษาฟรี” บัตรทองทำให้เรารักษาได้โดยไม่ต้องควักเงินจ่ายตอนป่วย — ฟังดูดีมากครับ แต่ในฐานะคนทำงานในระบบสาธารณสุข ผมอยากเล่าให้ฟังตรง ๆ ว่าข้างในระบบนี้มันกำลังพังลงอย่างช้า ๆ และถ้าไม่รีบแก้ อีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า เราอาจไม่มีระบบนี้ให้ใช้กันอีกเลย
โรงพยาบาลรัฐขาดทุนหนัก แต่คนไข้ไม่รู้ วันนี้ โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศกำลังขาดทุนอย่างหนักครับ มีถึง 218 แห่งที่เงินบำรุงติดลบ อีก 91 แห่งเหลือเงินไม่ถึง 5 ล้านบาท ซึ่งน้อยเกินจะเอาไว้รับมือวิกฤตอะไรได้ ต้นทุนเฉลี่ยในการรักษาผู้ป่วยในอยู่ที่ 13,000 บาทต่อราย แต่ สปสช. จ่ายให้แค่ 7,100 บาท เท่านั้น (ข้อมูลปี 2568)
โรงพยาบาลไม่ได้กำไรจากใคร ไม่มีนักลงทุน ไม่มีผู้ถือหุ้น รายได้ทั้งหมดก็ใช้เพื่อรักษาคนไข้ แต่ตอนนี้ ผมเห็นด้วยตาตัวเองว่า หลายแห่งต้องควักจ่ายเองเกือบครึ่ง และมันไม่ไหวแล้วครับ
นโยบายดี แต่ไม่มีเงินพอจะทำ ผมไม่ได้ค้านนโยบายใหม่ ๆ เลย เช่น ส่งยาให้ผู้ป่วยถึงบ้าน ให้คนไปรับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน เจาะเลือดถึงที่บ้าน ฟังดูดีและช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลได้จริง แต่คำถามคือ… แล้วงบมาจากไหน? เพราะตอนนี้แค่รักษาคนไข้หนัก ๆ ยังแทบไม่มีเงิน บางแห่ง ICU เตียงเต็ม คนไข้รอคิว
ในขณะที่งบก้อนหนึ่งกลับถูกใช้ไปกับบริการที่เบากว่า และควบคุมต้นทุนได้ง่ายกว่า
งบที่เคยมี… กำลังหายไปทีละปี ตอนหลังโควิด เคยมีเงินในระบบสูงถึง 80,000 ลบ. แต่ลดลงปีละเกือบ 20,000 ลบ. ตอนนี้เหลือประมาณ 40,000 ลบ. คาดว่าอีกไม่ถึง 3 ปี อาจไม่มีเหลือ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มว่าจะหมดภายใน 3 ปีผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ — นี่คือข้อมูลจากโรงพยาบาลจริง ๆ ถ้าไม่มีใครเริ่มแก้ตอนนี้ เราจะเห็นโรงพยาบาลทยอยเจ๊งและระบบที่เคยรักษาคุณได้ฟรี อาจไม่มีให้คุณใช้อีกต่อไป ถึงเวลาที่ทุกคนรวมถึง สปสช ต้องพูดความจริง วันนี้คนในระบบเริ่มพูดกันตรง ๆ ว่า ต้องกล้ายอมรับว่าระบบมีปัญหาและรีบหาทางแก้ด้วยกัน
ข้อเสนอที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง: หยุดเพิ่มสิทธิประโยชน์แบบไม่ดูงบ ปรับอัตราค่ารักษาให้ตรงกับต้นทุนจริง ถ้ามีนโยบายใหม่ ต้องชัดเจนว่า ใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ตั้งกองทุนช่วยโรงพยาบาลที่กำลังล้ม ใช้ทรัพยากรให้เหมาะกับระดับความรุนแรงของผู้ป่วย
ประชาชนควรรู้ความจริง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ผมเข้าใจดีครับว่าทุกคนอยากได้บริการที่ดี รวดเร็ว และไม่ต้องเสียเงิน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ระบบแบบนั้นต้องมีคนแบกรับต้นทุน
ถ้าไม่มีใครแบก… สุดท้ายก็จะพังไปทั้งระบบ ผมไม่ได้เขียนเพื่อให้ใครตกใจ
แต่เขียนเพื่อบอกว่า ถึงเวลาที่เราต้องช่วยกันแล้วครับ ถ้าเราไม่เริ่มจากการยอมรับความจริงวันนี้ วันหน้าคำว่ารักษาฟรีอาจจะเหลือแค่ในความทรงจำ
ขณะที่กองเศรษฐกิจสุขภาพ และหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีข้อมูลว่า สิ้นกุมภาพันธ์ 2568 ผ่านไปนั้น โรงพยาบาลในสังกัด สป.สธ. จำนวน 901 แห่ง มีเงินบำรุงสุทธิ ซึ่งหักภาระผูกพันคงเหลือ รวมอยู่ที่ 51,375 ล้านบาท มีโรงพยาบาลจำนวน 183 แห่งประสบปัญหาเงินบำรุงติดลบรวมกันเป็น -4,380.9 ล้านบาท ขณะที่อีก 718 แห่ง มีเงินบำรุงรวมกันเป็น 55,755.9 ล้านบาท
นอกจากนี้ สะท้อนในแง่ของวิกฤตการเงินของโรงพยาบาลในสังกัดสป.สท. ยังพบว่าในปีงบประมาณ 2568 โรงพยาบาลที่ถูกจัดอยู่ในระดับวิกฤตสูงสุด หรือระดับ 7 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 2 แห่งเมื่อเทียบจากปีงบประมาณ 2567 รวมเป็น 5 แห่งในปี 2568 นี้ ขณะที่โรงพยาบาลที่ถูกจัดอยู่ในระดับวิกฤตรองลงมา 1 ระดับ คือ ในระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับที่ยังพอแก้ไขได้ กลับไม่มีในปี 2568 จากเดิมที่เคยมี 3 แห่งในปีงบประมาณ 2567
สำหรับ 10 อันดับแรกของโรงพยาบาลในสังกัด สป.สธ.ที่มีสถานะการเงินบำรุงโรงพยาบาลติดลบมากที่สุด ข้อมูลถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 มีดังนี้ (หน่วยล้านบาท) อันดับ 1.รพ.ขอนแก่น -1,010 อันดับ 2.รพ.ชัยภูมิ -216 อันดับ 3.รพ.อยุธยา -183 อันดับ 4.รพ.เชียงใหม่ -119 อันดับ 5.รพ.สันป่าตอง เชียงใหม่ -117
อันดับ 6.รพ.ระนอง -116 อันดับ 7.รพ.บ้านหมี่ ลพบุรี -115 อันดับ 8.รพ.พระพุทธบาท สระบุรี -98 อันดับ 9.รพ.กาฬสินธุ์ -92 และอันดับ 10.รพ.ปากช่องนานา นครราชสีมา -80 (หน่วย: ล้านบาท) จากการจัดอันดับดังกล่าว พบว่าโรงพยาบาลที่มีสถานะการเงินบำรุงโรงพยาบาลติดลบจากภาคอีสานมีจำนวนมากที่สุดใน 10 อันดับแรกนี้
ย้อนกลับไปติดตามรายงานสถานการณ์การเงินของหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สิ้นสุดพ.ย.2567 พบว่า มีหน่วยบริการที่มีจำนวนเงินบำรุงติดลบสูง 10 อันดับแรก รวมทั้งสิ้น -1,974.4 ล้านบาท โรงพยาบาลที่ตกอยู่ในสถานการณ์การเงินเลวร้าย หรือติดลบมากที่สุด คือ โรงพยาบาลจังหวัดขอนแก่น ปรากฏว่าเงินบำรุงติดลบ 874.2 ล้านบาท เมื่อถึงเดือนมี.ค. 2568 พบว่า รพ.จังหวัดขอนแก่น ขาดสภาพคล่องสะสมพุ่งขึ้นรวม -1,237 ล้านบาท
สาเหตุมาจากหลากหลายปัญหา เช่น การจ้างลูกจ้างที่เพิ่มขึ้นกว่า 22% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีต้นทุนบริการที่สูงขึ้นมาก แม้จะมีศักยภาพด้านการบริการขั้นสูง และมีการจัดคลินิกพิเศษเฉพาะทางหลายสาขาเพื่อสร้างรายได้เข้าโรงพยาบาล ปัญหาการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายค่ารักษาจากกองทุนสุขภาพ และควบคุมกำกับค่าใช้จ่ายต่างๆ