วิจัยกรุงศรี เปิดเผยว่า แรร์เอิร์ธ หรือแร่หายากนับว่าเป็นวัตถุดิบที่ “หายาก” แต่ “ขาดไม่ได้” ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด โดย McKinsey & Company คาดการณ์ว่าในปี 2578 ความต้องการแรร์เอิร์ธที่ใช้ในการผลิตแม่เหล็กของโลกจะเพิ่มขึ้นสามเท่าเมื่อเทียบกับปี 2565 ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ ด้วยกำลังการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานคิดเป็นเกินครึ่งหนึ่งของทั้งโลก ขณะที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ ตลอดจนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กำลังเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาแรร์เอิร์ธจากจีน โดยประเทศดังกล่าวได้ขยายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยด้วย ส่งผลให้ไทยมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในส่วนต้นน้ำและปลายน้ำ คำถามสำคัญคือ ไทยควรยกระดับบทบาทในสมรภูมิแรร์เอิร์ธของโลกหรือไม่?
เพื่อตอบคำถามนี้ เราอาจต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเปรียบเสมือนดาบสองคม กล่าวคือไทยมีโอกาสทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่มีแนวโน้มเติบโตตามทิศทางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดของโลก แต่ในขณะเดียวกันกระบวนการผลิตแรร์เอิร์ธก็สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการปนเปื้อนของสารเคมี โลหะหนัก และของเสียอันตรายในแหล่งน้ำและดิน รวมถึงมลพิษทางอากาศ ดังนั้นวิจัยกรุงศรีจึงมองว่าไทยมีโอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธแตกต่างกันไปในแต่ละขั้นของห่วงโซ่อุปทาน โดยผู้ดำเนินนโยบายและภาคธุรกิจควรคำนึงถึงประโยชน์และผลกระทบอย่างรอบด้าน ดังนี้
อุตสาหกรรมต้นน้ำ: คาดว่าในระยะสั้นไทยจะยังได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมการแต่งแร่ โดยการนำเข้าแร่ดิบมาเพิ่มมูลค่าและส่งออก ทั้งนี้ท่ามกลางการแข่งขันพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของประเทศมหาอำนาจ ไทยอาจได้อานิสงส์จากการเป็นซัพพลายเออร์วัตถุดิบขั้นต้นให้กับประเทศที่สามารถสกัดแรร์เอิร์ธได้ อย่างไรก็ดี การแต่งแร่อาจสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนักและธาตุกัมมันตรังสีซึ่งปนเปื้อนในกากแร่ที่เหลือจากการแต่ง หรือมลพิษทางอากาศจากการบดและคัดแยกแร่ ส่วนในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ต้องอาศัยการลงทุนระยะยาวนั้น ไทยจำเป็นต้องสำรวจศักยภาพแหล่งแรร์เอิร์ธมากขึ้น เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการทำเหมืองเชิงพาณิชย์ แต่ข้อมูลเบื้องต้นจาก USGS สะท้อนว่าไทยยังมีปริมาณสำรองแรร์เอิร์ธไม่มาก โดยกรมทรัพยากรธรณีประเมินว่าแหล่งแรร์เอิร์ธในไทยกระจายตัวอยู่ในบริเวณแนวตะวันตกของไทย เช่น จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี และที่สำคัญไทยควรต้องประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยบทเรียนจากเมียนมาพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐฉานทำให้ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเกินค่ามาตรฐาน จึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อาศัยบริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งรวมถึงชุมชนทางตอนเหนือของไทยด้วย
อุตสาหกรรมกลางน้ำ: ไทยมีโอกาสจำกัด เนื่องจากการแปรรูปแรร์เอิร์ธใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ซึ่งไทยยังไม่สามารถทำได้ในเชิงพาณิชย์ ขณะที่ประเทศในภูมิภาคอย่างมาเลเซียได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญของโลกเนื่องจากบริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียเข้ามาลงทุนในธุรกิจสกัดแรร์เอิร์ธ อย่างไรก็ดี แม้ธุรกิจกลางน้ำจะมีมูลค่าเพิ่มสูง แต่ก็มาพร้อมกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โรงงานสกัดแรร์เอิร์ธในรัฐปะหังของมาเลเซียถูกต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่น จนรัฐบาลต้องกำหนดให้ผู้ผลิตสร้างโรงกำจัดของเสีย และลดระดับกัมมันตรังสีในของเสียจากกระบวนการสกัดแร่ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ขณะที่โรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธในเมืองเป่าโถว เขตมองโกเลียใน ประเทศจีน ก่อให้เกิดของเสียอันตรายสะสมในปริมาณมาก เช่น แคดเมียมและตะกั่ว ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ และพัฒนาการในเด็ก
อุตสาหกรรมปลายน้ำ: คาดว่าไทยมีโอกาสจากการขยายการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตแม่เหล็กจากต่างประเทศ โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการแม่เหล็กแรร์เอิร์ธในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตของบริษัทยานยนต์ไฟฟ้า เช่น BYD และ Great Wall Motor (GWM) และบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Western Digital และ Seagate Technology ทั้งนี้คาดว่าการลงทุนในกิจกรรมปลายน้ำจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมไฮเทคในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันไทยยังเป็นผู้นำเข้าสุทธิของสินค้าแม่เหล็กถาวร โดยเกือบครึ่งหนึ่งมาจากจีน (46% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดในปี 2567) ตามมาด้วยญี่ปุ่น (41%) อย่างไรก็ตาม ไทยอาจเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันในภูมิภาค โดยชาติอาเซียนต่างพยายามดึงดูดการลงทุนจากประเทศที่เร่งขยายฐานการผลิตแม่เหล็ก เช่น มาเลเซีย เป็นฐานการแปรรูปแรร์เอิร์ธของบริษัทจากออสเตรเลีย ซึ่งกำลังขยายธุรกิจไปยังการผลิตแม่เหล็กในขั้นปลายน้ำ ขณะที่เวียดนาม นอกจากมีปริมาณสำรองแรร์เอิร์ธสูงแล้ว ยังเป็นฐานการผลิตแม่เหล็กถาวรของบริษัทจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ อีกด้วย นอกจากนี้ อีกความท้าทายหนึ่งคือการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการผลิตโลหะแรร์เอิร์ธและแม่เหล็กก่อให้เกิดของเสียและกากอุตสาหกรรม ซึ่งอาจปนเปื้อนโลหะหนัก จึงต้องมีระบบจัดการกากที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนดินและน้ำ
ในบริบทของการแข่งขันในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างชาติมหาอำนาจของโลก ไทยอาจมีโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธด้วยการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการสำรวจ วิจัยและพัฒนาในประเทศ ทั้งนี้แม้เราอาจเผชิญการแข่งขันจากประเทศในกลุ่มอาเซียนในด้านการเป็นฐานการผลิตแรร์เอิร์ธ แต่ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานได้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของไทยต้องมาพร้อมกับการประเมินความคุ้มค่าระหว่างประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน อีกทั้งควรมีการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็งและโปร่งใส เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน สังคม ตลอดจนเป้าหมายความยั่งยืนของไทยในระยะยาว