วิจัยกรุงไทย หั่นคาดการณ์จีดีพีไทยปี 68 เหลือโต 2% ยังเสี่ยงโตต่ำกว่า 1% หากผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐรุนแรง แนะเร่งรับมือ

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือ 2.0% ในกรณีที่ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง และอาจลดลงเหลือ 0.7% ในกรณีที่ได้รับผลกระทบรุนแรง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% เนื่องจากจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและความเสี่ยงที่สูงขึ้น Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ออกเป็น 2 สถานการณ์ ได้แก่

Scenario 1 (S1): ไทยถูกเก็บภาษี 10% (universal tariff) ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 หลังจากที่มีการเลื่อนการขึ้นภาษีเต็มรูปแบบออกไป 90 วัน โดยในช่วงครึ่งปีหลังการเจรจากับสหรัฐฯ ประสบผลสำเร็จทำให้ภาษีลดเหลือเพียง universal tariff ที่ 10% จาก 36% ที่มีการรวม reciprocal tariff ขณะที่ Sectoral tariff จะถูกเก็บในสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มเหล็ก ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ได้รับการยกเว้น ในสถานการณ์นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.0% ลดลงจากการประมาณการเดิมที่ 2.7%

Scenario 2 (S2): ไทยถูกเก็บภาษี 10% (universal tariff) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 และในช่วงครึ่งปีหลังได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบจากการขึ้นภาษี reciprocal tariff ที่ 36% นอกจากนี้ Sectoral tariff จะถูกเก็บในสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มเหล็ก ตั้งแต่ไตรมาส   ที่ 2 โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์จะได้ถูกจัดเก็บตั้งแต่  ไตรมาสที่ 3 ในสถานการณ์นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 0.7% ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ซึ่งการประเมินสถานการณ์ข้างต้น สอดคล้องกับมุมมองของ กนง. ที่คาดว่าเศรษฐกิจระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงสูงขึ้น จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.75% โดยคาดกรณีผลกระทบปานกลาง เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.0% ขณะที่กรณีผลกระทบรุนแรง เศรษฐกิจอาจขยายได้ 1.3%

ทั้งนี้ มีผลกระทบที่ต้องเร่งรับมือ ทั้ง 1) ผลระยะยาวในรูปแบบของ “แผลเป็นทางเศรษฐกิจ” ดังที่ไทยเคยประสบในช่วงโควิด-19 ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ปีในการทำให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ระดับก่อนวิกฤติ ในครั้งนี้แม้ว่ารูปแบบของวิกฤติจะแตกต่างกัน แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจสูง โดยเมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ที่ IMF’s WEO เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคม 2568 เทียบกับรอบเมษายน 2568 ที่มีผลกระทบจากสงครามการค้าแล้วนั้น พบว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยอาจสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1.6 ล้านล้านบาท

และ 2) ผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs ไทย กว่า 4,990 ราย ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกสินค้ายานยนต์ยานยนต์และชิ้นส่วน เหล็ก อลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ทั้งนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเป็นความเสี่ยงเร่งด่วนที่คล้ายคลึงกับในช่วงวิกฤตโควิด-19 แต่ด้วยลักษณะของผลกระทบที่แตกต่างกันในระยะสั้น มาตรการรับมือ อาทิ ป้องกันการใช้ไทยเป็นฐานส่งออกสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีไปยังสหรัฐฯ (transshipment) ,คุ้มครองตลาดในประเทศจากการทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดหลัก และ สนับสนุนสภาพคล่องและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม แผลเป็นทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้ามีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและส่งผลระยะยาวแตกต่างจากโควิด-19 ที่เป็นผลกระทบฉับพลัน ดังนั้น ประเทศไทยควรมองวิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์โดยยกระดับตำแหน่งในห่วงโซ่มูลค่าโลก: ผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตทางเลือกที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ สำหรับธุกิจที่ต้องการกระจายความเสี่ยง

พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน: เร่งยกระดับทักษะแรงงาน การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ

ขยายตลาดและพันธมิตรการค้า: แสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน (align interest) รวมทั้งเร่งรัดการเจรจา FTA รับมือกับความท้าทายจากจีน: เร่งรัดการปรับสมดุลการค้ากับจีน โดยเน้นย้ำการเป็น free and fair trade

ทั้งนี้ สงครามการค้าครั้งนี้ไม่ใช่เพียงภาวะวิกฤตที่ต้องเยียวยาชั่วคราว แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประเทศไทยต้องใช้เป็นโอกาสในการวางตำแหน่งใหม่ของเศรษฐกิจไทยในบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคาดการณ์ได้ยาก เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัว เติบโต และแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว 

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles