ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์ตามทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคซึ่งเผชิญแรงกดดันจากความกังวลต่อประเด็นทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวถึงการเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และเงินเยนซึ่งได้รับอานิสงส์จากการคาดการณ์ถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BOJ ในเดือนธ.ค. ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายสอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังตัวเลขเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE และ Core PCE เพิ่มขึ้นตามที่ตลาดคาด โดยข้อมูลดังกล่าวกระตุ้นให้ตลาดกลับมาประเมินว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเดือนธ.ค. นี้
ในวันศุกร์ที่ 29 พ.ย. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 พ.ย. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 25-29 พ.ย. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 4,282.1 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 5,166 ล้านบาท (แบ่งเป็น ซื้อสุทธิพันธบัตร 5,170 ล้านบาท หักด้วยตราสารหนี้หมดอายุ 4 ล้านบาท)
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 2-6 ธ.ค. ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.90-34.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค. ดัชนี ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนพ.ย. ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานเดือนพ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองของผู้บริโภคเดือนธ.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของยูโรโซน ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนพ.ย. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน อังกฤษด้วยเช่นกัน