วิจัยกสิกรไทย  คาดอุตสาหกรรมไก่ของไทยปี 69 โตชะลอลง ความต้องการทรงตัว ตามภาวะเศรษฐกิจ ตลาดแข่งขันสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ในประเทศปี 69 คาดว่า ปริมาณการผลิตเนื้อไก่ของไทยจะอยู่ที่ 3.47 ล้านตัน ขยายตัว 0.9% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 68 ที่คาดว่าจะโตราว 1.3% ซึ่งสอดคล้องไปกับปริมาณการบริโภคที่คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว จากความต้องการในประเทศและตลาดส่งออกที่โตช้าลงตามภาวะเศรษฐกิจ

ขณะที่ราคาไก่ที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์ม คาดจะยังทรงตัวเทียบกับปี 68 แม้วัตถุดิบอาหารสัตว์จะมีทิศทางลดลง แต่ต้นทุนส่วนอื่น ๆ มีแนวโน้มขยับขึ้น อาทิ ต้นทุนการจัดการฟาร์มและค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ท่ามกลางราคาขายปลีกขยับขึ้นได้จำกัด เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุม ส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษารายได้และอัตรากำไรยังเป็นโจทย์สำคัญของธุรกิจ

ปัจจุบันมีผู้เล่นในธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่จำนวน 1,278 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) โดยราว 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนอีก 20% เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลาง

อย่างไรก็ดี ผลผลิตเนื้อไก่จากฟาร์มเลี้ยงไก่ของเกษตรกรรายย่อย มีสัดส่วนเพียง 10% ของผลผลิตไก่เนื้อทั้งหมด ส่วนอีก 90% มาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ลงทุนแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งที่เป็นฟาร์มของบริษัทเอง รวมถึงการทำ Contract farming กับเกษตรกรรายย่อย ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งด้านคุณภาพและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด

ปี 69 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยคาดอยู่ที่ 4,665 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 3.0% ชะลอตัวจากปี 68 ที่คาดว่าจะโต 5.0% ทั้งกลุ่มไก่แปรรูปและไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ไก่แปรรูป ส่งออกราว 70% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3.2% ชะลอตัวจากปี 68 ที่คาดว่าจะโต 5.0% โดยเป็นผลจากความต้องการในคู่ค้าหลักอย่าง ญี่ปุ่นและ สหราชอาณาจักรที่ปรับลดลง

– ญี่ปุ่น แม้ว่าไทยจะได้อานิสงส์บางส่วนจากการที่ญี่ปุ่นยังคงระงับนำเข้าไก่จากบราซิลที่มีการระบาดของไข้หวัดนก รวมถึงเผชิญการระบาดในประเทศ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันด้านราคารุนแรงกับจีน โดยราคาส่งออกไก่แปรรูปเฉลี่ยของจีนไปญี่ปุ่นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 ยังถูกกว่าของไทยราว 14% ส่งผลให้การเติบโตของการส่งออกจากไทยอาจไม่มากนัก

– สหราชอาณาจักร แม้จะมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตไก่ในประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปี 69 คาดว่าการผลิตเนื้อไก่ในสหราชอาณาจักรจะยังขยายตัวได้ราว 2-3% ทำให้คำสั่งซื้อจากไทยอาจโตไม่มากเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

2. ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ส่งออกราว 30% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด คาดว่าจะเติบโตได้ราว 2.4% ชะลอตัวจากปี 68 ที่คาดว่าจะโต 5.0%

– จีน น่าจะยังเป็นตลาดที่ขยายตัวได้ จากความต้องการเนื้อไก่ในประเทศสูง แต่ไทยยังมีความเสี่ยง จากผลผลิตไก่ในจีนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันด้านราคารุนแรงกับคู่แข่งสำคัญที่กลับมาทำตลาดในจีนได้ เช่น บราซิลกลับมาส่งออกไก่ไปจีนได้อีกครั้ง หลังจีนยกเลิกระงับการนำเข้า ขณะที่สหรัฐฯ ก็สามารถส่งออกไก่ไปจีนได้ จากการที่จีนระงับการใช้ภาษีตอบโต้เป็นเวลา 1 ปี รวมถึงรัสเซียที่จีนหันมานำเข้าเพิ่มต่อเนื่อง สะท้อนจากสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าเนื้อไก่จากรัสเซีย เพิ่มขึ้นเป็น 19% ในช่วง 9 เดือนแรกปี 68 จาก 13% ในช่วงเดียวกันปีก่อน

– สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้จะเป็นตลาดที่มีส่วนแบ่งในตลาดส่งออกของไทยเพียง 2-3% แต่คาดว่าการส่งออกจะยังเติบโตดีต่อเนื่อง ตามความต้องการไก่ฮาลาลที่เพิ่มขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 68 ที่เพิ่มกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากปัจจัยเฉพาะตัวของคู่ค้าหลักที่ส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยอาจโตชะลอ ยังมีปัจจัยเรื่องของค่าเงินบาทที่แกว่งตัวในทิศทางแข็งค่า โดยปัจจุบัน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องราว 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 67 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย. 68) ส่งผลให้ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในรูปสกุลเงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

แม้ว่าไทยจะมีจุดแข็งในเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปและพัฒนาสินค้าให้ได้ตามออเดอร์ลูกค้า แต่ก็มีความเสี่ยงจากคู่แข่งรายสำคัญอย่าง สหรัฐฯ บราซิลและจีน ที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต่ำ รวมถึงปริมาณการผลิตที่มี Economy of scale

ขณะที่ไทยจำเป็นต้องนาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นหลัก (กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) คิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60% ของปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ ส่งผลให้ไทยมีต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลิตภัณฑ์ไก่จึงสูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกดดันการส่งออกของไทยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จากการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ธุรกิจอาจต้องปรับราคาลดลงมาเพื่อรักษายอดขาย หรือยอมลดอัตรากำไรบางส่วน

นอกจากนี้ การขยายฐานการผลิตในต่างประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ยังส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในระยะต่อไปอาจชะลอลง สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง จากช่วงปี 59-62 ที่เติบโตเฉลี่ย 9.0% ลงมาอยู่ที่ 6.5% ในช่วงปี 63-67

ความเสี่ยงธรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ของไทย

1. ต้นทุนการผลิตยังผันผวน โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งมีสัดส่วนราว 60-70% ของต้นทุนการผลิตรวม ซึ่งไทยยังพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนที่สูง จึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของสภาพอากาศที่อาจกระทบกับผลผลิต ขณะที่ปัจจัยการผลิตอื่น ๆ อาทิ พันธุ์ไก่เนื้อ ต้นทุนการจัดการฟาร์มและสาธารณูปโภค ก็มีแนวโน้มขยับขึ้น จึงอาจส่งผลต่ออัตรากำไรเฉลี่ย (Gross profit margin) ของธุรกิจให้ปรับลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ราว 20-30%

อย่างไรก็ดี ปี 69 ที่ไทยจะเปิดนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ ก็น่าจะช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ของผู้ประกอบการลงได้บ้าง เนื่องจากราคานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สหรัฐฯ ถูกกว่าแหล่งนำเข้าเดิมซึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา/สปป.ลาว) ราว 47-118 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน และถูกกว่านำเข้าข้าวสาลีราว 66 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่ปริมาณการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ในแต่ละสูตรด้วย

2. อุปสรรคทางการค้าจากทั้งมาตรการทางภาษีและมิใช่ภาษี อาทิ ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจกระทบต่อเศรษฐกิจคู่ค้าหลักให้เติบโตต่ำ และส่งผลต่อเนื่องมายังยอดคำสั่งซื้อที่อาจปรับลดลง รวมถึงการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น เช่น มาตรฐานสุขอนามัยอาหาร (Food safety standards) มาตรฐานด้านสารตกค้างและการใช้ยา มาตรฐานฟาร์มและสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) ตลอดจนการปฏิบัติตามเกณฑ์ ESG ที่อาจส่งผลต่อกระบวนการผลิต อาทิ การตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการลงทุนในระบบการจัดการและคุณภาพการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในฝั่งสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหลักที่เข้มงวดกับมาตรฐานเหล่านี้

3. การพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ไทยพึ่งพาตลาดส่งออกหลักอย่าง ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรในสัดส่วนที่สูง (มากกว่า 60% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด) ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจึงควรมองหาโอกาสขยายการส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ ๆ ที่ยังมีความต้องการสินค้ากลุ่มนี้สูง เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง เนเธอร์แลนด์ แคนาดา เป็นต้น

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles