วิจัยกสิกรไทย ชี้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 68 โต 2.8% ตามคาด ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ 1.5%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2568 ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 2.8% YoY ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งส่งออก และผลผลิตการเกษตรที่ปรับสูงขึ้น ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง

โดย GDP ไตรมาส 2/2568 ขยายตัวที่ 2.8% YoY และ 0.6% QoQ เนื่องจากการส่งออกสินค้าขยายตัวสูงถึง 14.3% YoY จากการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้ายังอยู่ในระดับสูงแม้ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งสูงขึ้นเช่นกัน รวมทั้ง  การลงทุนภาคเอกชนพลิกกลับมาขยายตัวหลังจากหดตัว 4 ไตรมาสติดต่อกัน จากการลงทุนในเครื่องจักรที่เพิ่มสูงขึ้น และยอดขายรถยนต์พาณิชย์ที่ฟื้นตัว  การผลิตภาคเกษตรขยายตัวดีต่อเนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยให้ผลผลิตการเกษตรที่ออกมาสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเป็นบวกเล็กน้อยจากการส่งออกที่ขยายตัวดี และภาคก่อสร้างขยายตัวดีตามการลงทุนภาครัฐแม้ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การบริโภคภาครัฐยังขยายตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลงเช่นเดียวกัน ตลอดจนการบริโภคภาคเอกชนและรายได้ภาคการท่องเที่ยวชะลอลง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทยในไตรมาส 2/2568 หดตัว -12.2% YoY เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมากถึง -44.5% YoY ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงท่ามกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดบริการ แม้จะได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ที่พลิกกลับมาขยายตัวหลังจากหดตัว 5 ไตรมาสติดต่อกัน

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ 1.5% โดยมีมุมมองเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ จากแรงส่งของการส่งออกที่ลดลงหลังมีการเร่งส่งออกสูงในช่วงครึ่งแรกของปี แม้ไทยได้รับอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ ดีกว่าเดิมที่ 19% รวมถึงการท่องเที่ยวที่ชะลอลงมากกว่าที่คาด

โดยมองว่าการส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวลึกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่ราว -7.4% YoY เนื่องจากมีการเร่งส่งออกสูงไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก และทิศทางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยแม้อัตราภาษี Reciprocal tariff ที่ไทยได้รับที่ 19% นั้นเป็นอัตราที่แข่งขันได้กับประเทศอื่นในภูมิภาค แต่อัตราภาษีดังกล่าวก็ถือว่าสูงขึ้นค่อนข้างมากจากระดับก่อนหน้าที่จะมีการออกมาตรการภาษีฯ อีกทั้ง ยังต้องติดตามรายละเอียดการเรียกเก็บอัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่ 40% ที่คาดว่าจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อ Re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านไทยมีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ การส่งออกไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากการเก็บภาษีรายสินค้าภายใต้มาตรา 232 ที่อาจออกมาเพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า

ขณะที่ จำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องไปในไตรมาส 3-4 ของปีนี้ และมองทั้งปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะอยู่ที่ 32.2 ล้านคน หรือหดตัวที่ราว -9% YoY ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวไทยเผชิญความท้าทายมากขึ้นจากทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยที่ลดลง และความกังวลของนักท่องเที่ยวด้านความปลอดภัยในไทย ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา

ด้านการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มชะลอตัวในไตรมาส 3-4 ของปีนี้ จากทั้งปัจจัยการเบิกจ่ายงบประมาณที่ช้าลง และผลของฐานต่ำที่หมดไป ขณะเดียวกัน ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ อย่างไรก็ดี งบประมาณปี 2569 ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 4/2568 ได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ แล้ว ยังเป็นปัจจัยหนุนความต่อเนื่องในการเบิกจ่ายงบประมาณ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles