วิจัยไทยพาณิชย์เผยผลสำรวจพบกลุ่ม Gen X ลงทุนในทองคำมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่ม Gen Y

วิจัยไทยพาณิชย์เผยผลสำรวจพบกลุ่ม Gen X ลงทุนทองคำ มากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่ม Gen Y

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์ เรื่อง “ธุรกิจทองคำไทย ไปต่ออย่างไรให้ยิ่งมั่งคั่ง” ระบุว่าจากผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 พบว่า กลุ่มที่มีการลงทุนในทองคำมากที่สุด คือกลุ่ม Gen X คิดเป็นสัดส่วน 51% รองลงมาเป็นกลุ่ม Gen Y คิดเป็นสัดส่วน 34% อีกทั้ง กลุ่ม Gen X และ Y ยังมีสัดส่วนผู้ที่สนใจลงทุนเพิ่มเติมในทองคำสูงกว่า Gen อื่นๆ อีกด้วย สะท้อนฐานนักลงทุนกลุ่ม Gen X และ Y ที่ยังเป็นกลุ่มหลักที่ลงทุนในทองคำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง เมื่อพิจารณากลุ่มที่สนใจลงทุนเพิ่มเติมในทองคำ จำแนกตามระดับรายได้ จะพบว่ากลุ่มที่มีรายได้ระดับ 50,000 บาท/เดือนลงมา สนใจลงทุนเพิ่มเติมในทองคำ เป็นโอกาสให้ผู้ค้าทองอาจขยายฐานนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว ด้วยการมุ่งเน้นการนำเสนอบริการลงทุนในทองคำที่ตอบโจทย์กลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมา อย่างการเปิดบัญชีจำหน่ายทองคำในหน่วยย่อย เพื่อให้ผู้ลงทุนที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมาสามารถทยอยลงทุนได้อย่างเหมาะสมตามระดับเงินออม และสะสมรับเป็นทองคำได้เมื่อถึงน้ำหนักที่กำหนด

จากการที่ไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ค้าสินค้าทองคำขั้นปลาย ส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุน การเพิ่มรายได้ทั้งจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ จากข้อจำกัดที่ไทยยังไม่มีโรงงานสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ตามมาตรฐานสากล การผลิตสินค้าขั้นปลายที่มีส่วนประกอบของทองคำในไทยส่วนหนึ่งจึงยังต้องอาศัยการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ก่อน แล้วจึงนำเข้าทองคำกลับมาที่ไทยอีกครั้งมาผลิตเป็นสินค้าขั้นปลาย จึงนับว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งออก และนำเข้าทองคำกลับมาที่ไทย เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิตสินค้าทองคำขั้นปลาย

อีกทั้ง ต้นทุนการผลิตยังมีความผันผวนไปตามราคาทองคำในตลาดโลก และค่าเงินบาท ที่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจบริหารจัดการต้นทุนราคาทองคำ และสต็อกวัตถุดิบทองคำอย่างเหมาะสม รวมถึงยังจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องเตรียมพร้อมรับมือต่อวิกฤต โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ห่วงโซ่อุปทานทองคำของโลกหยุดชะงักจากสถานการณ์ต่างๆ เช่น ภาวะสงคราม โรคระบาด นโยบายการควบคุมนำเข้าและส่งออกทองคำระหว่างประเทศ ปัญหาด้านการขนส่ง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำมีความผันผวน และอาจรุนแรงไปจนถึงภาวะขาดแคลนทองคำ ส่งผลให้การผลิต และการซื้อขายทองคำในไทยหยุดชะงัก ซึ่งจำเป็นต้องมีการสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทองคำของไทยจากแหล่งต่างๆ ให้เพียงพอต่อการผลิต ทั้งจากทองคำในประเทศสำหรับรีไซเคิล และทองคำที่นำเข้ามาจากต่างประเทศให้เหมาะสม

สำหรับตลาดผู้ซื้อเครื่องประดับทองคำชาวต่างชาตินั้น SCB EIC มองว่ายังมีโอกาสในการขายเครื่องประดับทองคำให้ กลุ่มผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านที่นิยมเครื่องประดับทองคำจากไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มที่มีการถือครองทองคำต่อหัวที่สูงที่มาท่องเที่ยวในไทย อย่างชาวตะวันออกกลาง ได้แก่ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านช้อปปิ้งโดยเฉลี่ยต่อหัวในการมาท่องเที่ยวในไทยในปี 2565 อยู่ที่ 13,860 บาท 11,122 บาท และ 8,594 บาท ตามลำดับ รวมถึงชาวฮ่องกง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านช้อปปิ้งโดยเฉลี่ยต่อหัวในการมาท่องเที่ยวในไทยในปี 2565 สูงถึง 19,624 บาท สูงกว่าค่าใช้จ่ายด้านช้อปปิ้งโดยเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวม ซึ่งอยู่ที่ 7,933 บาท เป็นโอกาสให้ผู้ผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องประดับทองคำมุ่งเน้นการออกแบบเครื่องประดับให้ตอบโจทย์ความนิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น รวมถึงธุรกิจค้าทองยังสามารถขยายฐานลูกค้าชาวต่างชาติกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฮ่องกง ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าหลักสำหรับสินค้าเครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยทองของไทยอยู่แล้ว

ผู้ค้าทองรายใหญ่ยังสามารถขยายการให้บริการ ด้วยการเป็นพันธมิตรกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น สถาบันการเงิน การขายทองคำผ่าน E-wallet เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขาย และลงทุนในทองคำได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ค้าทองที่มีสาขาอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว อาจทำการตลาดกระตุ้นการซื้อเครื่องประดับทองคำในสาขาที่มีการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีการถือครองทองคำต่อหัวที่สูง รวมถึงอาจเป็นพันธมิตรกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจขายสินค้าที่ระลึก เพื่อทำการตลาดร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ค้าทองสามารถขยายช่องทางการขายเครื่องประดับทองคำไปสู่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มที่มีศักยภาพได้เพิ่มเติม

สำหรับผู้ค้าทองรายกลางและเล็กอาจขยายบริการการออมทอง รวมถึงเร่งสร้างรายได้เพิ่มเติมจากบริการอื่นๆ จากการที่ฐานลูกค้าจำนวนมาก ทั้งผู้บริโภค และนักลงทุนยังกระจุกตัวใช้บริการผู้ค้าทองรายใหญ่ ส่งผลให้ผู้ค้าทองรายกลางและเล็กจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ อีกทั้ง ความท้าทายของผู้ค้าทองรายกลางและเล็กยังอยู่ที่ความสามารถในการบริหารสภาพคล่อง โดยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสต็อกทองคำ และเงินสดอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายทองคำสูง

ปัจจุบัน การซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีสัดส่วนมากกว่าการซื้อขายหน้าร้าน อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยังคงมีความเสี่ยง เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ ความปลอดภัยของข้อมูล เป็นช่องทางฉ้อโกงจากมิจฉาชีพ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค และนักลงทุน ทั้งนี้เจ้าของแพลตฟอร์มการซื้อขายทองคำออนไลน์ ซึ่งส่วนมากเป็นผู้ค้าทองรายใหญ่ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายทองคำให้มีความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และขยายโอกาสในการทำธุรกรรมซื้อขายทองคำ ไปจนถึงสามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้บริโภค และนักลงทุนที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles