ศุกร์ทมิฬหุ้นสหรัฐเสียหายกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ กว่า 106 ล้านล้านบาท รวม 2 วันทมิฬติดกันพัง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีโหม่งก้นเหว 2 วันติดกันเกือบ 4,000 จุด ปิดต่ำสุดในรอบ 5 ปี จีนโต้ขึ้นภาษี 34% ใส่สหรัฐ

ศุกร์ทมิฬ หุ้น สหรัฐ เสียหายกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ กว่า 106 ล้านล้านบาท รวม 2 วันทมิฬติดกันพัง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีโหม่งก้นเหว 2 วันติดกันเกือบ 4,000 จุด ปิดต่ำสุดในรอบ 5 ปี จีนโต้ขึ้นภาษี 34% ใส่สหรัฐ

ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 38,814 จุด -2,231 จุด หรือ -5.50% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,074 จุด -322 จุด หรือ -5.97% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 15,587 จุด -962 จุด หรือ -582% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดดำดิ่งลงเหวถึง 2 วันติดกันรวม -3,910 จุด, -596 จุด และ -2,012 จุดตามลำดับ หรือ -5.50%, -10.81% และ -11.79% ตามลำดับ

มูลค่าตลาดหุ้นนิวยอร์กคิดจากดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เสียหายถึง 3.08 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 106.3 ล้านล้านบาท ส่งผลให้เสียหายรวม 2 วันตั้งแต่วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ติดกันถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 172.5 ล้านล้านบาท ไม่เพียงทำสถิติเสียหาย 2 วันติดกันมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ยังทำลายสถิติเดิมของหุ้นเสียหาย 2 วันติดกันในเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งเป็นมูลค่าสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 113.9 ล้านล้านบาท เป็นผลจากวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในช่วงเวลานั้น 

สำหรับดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดำดิ่งถึง -2,231 จุด หรือ -5.50% ทำสถิติดำดิ่งใน 1 วันที่เลวร้ายสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่มิถุนายน 2020 หรือนับตั้งแต่ในช่วงเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ นับเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่ดัชนีหุ้นดังกล่าวดำดิ่งร่วงเกินวันละ 1,500 จุดต่อเนื่องถึง 2 วันติดกัน โดยในวันที่ 3 เม.ย. ร่วง -1,679 จุด และวันที่ 4 เม.ย.ร่วง -2,231 จุด ดัชนีหุ้นดังกล่าวเข้าสู่ภาวะปรับฐานสมบูรณ์แบบ หรือ Correction หลังจากดิ่งมากเกิน -10% เมื่อเทียบจากวันที่ 4 ธ.ค. 2024 ซึ่งทำปิดที่ 45,014.04 จุด ปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของดัชนีหุ้นดาวโจนส์

สำหรับดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดดิ่งแรง -322 จุด หรือ -5.97% ทำสถิติดัชนีหุ้นดิ่งแรงใน 1 วันที่เลวร้ายสุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่มี.ค. 2020 หรือนับตั้งแต่ในช่วงเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นดังกล่าวไม่เพียงเข้าสู่ภาวะปรับฐานสมบูรณ์แบบ หรือ Correction แต่ใกล้เข้าภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market เนื่องจากปิดทรุด 2 วันติดกันมากถึง -17% เมื่อเทียบจากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500

สำหรับดัชนีหุ้นนาสแดคปิดดิ่งแรง -962 จุด หรือ -582% และเมื่อรวมกับวันที่ 3 เม.ย.ที่ปิดดิ่งถึง -1,050 จุด หรือ -11.79% ส่งผลเข้าภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market เนื่องจากปิดทรุดรวม 2 วันติดกันมากถึง -22% เมื่อเทียบจากวันที่ 16 ธ.ค. 2024 ซึ่งปิดที่ 20,173.89 จุด ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของดัชนีหุ้นดังกล่าว

ขณะที่เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติดำดิ่งเหวใน 1 วันเลวร้ายสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่มิถุนายนปี 2020 หรือตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ยังทำสถิติปิดต่ำสุดตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ชะนะเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. 2024 หรือในรอบเกือบ 5 เดือน ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติดำดิ่งใน 1 วันเลวร้ายสุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่มี.ค.ปี 2020 หรือตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี 400 บริษัท หรือ 80% จากทั้งหมด 500 บริษัทในดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ที่ปิดตลาดด้วยราคาลดลง ส่งผลให้มูลค่าตลาดของดัชนีหุ้นดังกล่าวเสียหายถึงเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 69 ล้านล้านบาทภายในวันพฤหัสบดีวันเดียว นอกจากนี้ ยังสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในปีนี้ เนื่องจากในคืนผ่านมา มูลค่าตลาดเสียหายถึง 1.92 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 66.24 ล้านล้านบาท เปรียบเทียบกับมูลค่าตลาดดัชนีหุ้นดังกล่าวที่เสียหายไปแล้วถึง 1.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 60.38 ล้านล้านบาทตั้งแต่ต้นปี 2025 นี้

ที่สำคัญยังทำให้ดัชนีหุ้นดังกล่าวดำดิ่งแรงถึง -12% จากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ทำให้เข้าสู่ภาวะปรับฐานเป็นทางการ หรือ Correction อีกด้วย เนื่องจากดำดิ่งหนักเกินกว่า -10% จากสถิติปิดนิวไฮ นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นรัสเซลล์ 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของสหรัฐอเมริกา ปิดดำดิ่งรุนแรงมากถึง -6.5% ทำสถิติปิดดำดิ่งลงเหวใน 1 วันที่เลวร้ายสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่ 11 มิถุนายนปี 2020 หรือตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่สำคัญ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดังกล่าวปิดดำดิ่งเลวร้ายถึงกว่า -21% เข้าสู่ภาวะตลาดหมีสมบูรณ์แบบ หรือภาวะ Bear Market เนื่องจากดัชนีหุ้นรัสเซลล์ 2000 ปิดดำดิ่งเกินกว่า -20% จากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2024

ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -7.86%, -9.08% และ -10.02% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วงติดกัน 6 สัปดาห์ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วงติดกัน 4 สัปดาห์ และ ดัชนีหุ้นนาสแดคร่วงติดกัน 6 สัปดาห์

สาเหตุจากกระทรวงคลังจีนประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ถึง 34% กับสินค้าทุกชนิดจากสหรัฐ และจำกัดการทำธุรกิจนำเข้าส่งออก 11 บริษัทของสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs กับ 185 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ 10% ถึง 50% มีผลในวันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา โดยเก็บภาษีสูง 34% กับจีน ส่งผลประกาศรวม 2 รอบทำให้จีนโดนเก็บภาษีรวมสูงถึง 54%

อัตราภาษีดังกล่าวสูงเกินคาดหมายมากกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่หลายแห่งของโลก นักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์จะใช้อัตราภาษีดังกล่าวเพียง 10% หรือเลวร้ายสุดที่ 20% เป็นเพดานสูงสุดในการจัดเก็บ แต่ผลกลับออกมาช็อคเกินคาดการณ์มาก เช่น จีนถูกเก็บภาษีรวมสุทธิถึง 54% จากเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 ถูกจัดเก็บภาษีสูงขึ้น 20% และภาษีต่างตอบแทนอีก 34% เป็นต้น

ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทข้ามชาติ บริษัทนำเข้า-ส่งออก บริษัทเทคโนโลยี บริษัทรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ สถาบันการเงิน บริษัทค้าปลีกแบรนด์เนมหรูหรา ถูกถล่มเทขายอย่างรุนแรงตลอดทั้งคืนผ่านมา หุ้นไนกี้ และแอปเปิล ปิดดำดื่งหนักถึง -14% และ -9% ตามลำดับ หุ้นแก๊พ(Gap) ค้าปลีกเสื้อผ้าแบรนด์ดังทรุดลงเหวมากถึง -20% หุ้นเอ็นวิเดีย และเทสลา ปิดดำดิ่งแรงถึง -8% และ -5% ตามลำดับ หุ้นแอลวีเอ็มเอช เจ้าของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ทิฟฟานี่ แอนด์ โค ดำดิ่งแรงถึง -5.9%

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า ยอมรับถึงภาวะเทขายหุ้นอย่างรุนแรง การบังคับใช้มาตรการภาษีเปรียบเสมือนการผ่าตัด เหมือนกับผู้ป่วยที่กำลังได้รับการผ่าตัด ตลาดกำลังจะเฟื่องฟู หุ้นกำลังจะเฟื่องฟู ประเทศสหรัฐกำลังจะสดใส และประเทศที่เหลือในโลกต้องการที่จะเห็นว่ามีอะไรบ้างมั้ยที่ประเทศเหล่านั้นสามารถคุยเจรจาเพื่อตกลงกับสหรัฐ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคมผ่านมา ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดดำดิ่งถึง -10.1% จากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ผ่านมา ส่งผลเกิดภาวะดัชนีหุ้นปรับฐาน หรือ Correction สมบูรณ์แบบ สอดรับกับดัชนีหุ้นนาสแดคปิดดิ่งลงอีกเกินกว่า -10% ในโซนดัชนีหุ้นปรับฐาน หรือ Correction ต่อไป

สิ้นสุดกุมภาพันธ์ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -2.9%, -3.0% และ -5.5% ตามลำดับ ขณะที่สิ้นสุดมกราคม ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด +4.7%, +2.7% และ +1.6% ตามลำดับ

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25 ถึง 4.5% เท่าเดิม ส่งผลเป็นการตึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นครั้งแรกในรอบปี 2025 นี้ และเป็นครั้งแรกใน 4 เดือนผ่านมา หรือนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 หลังจากได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลงถึงสามครั้งต่อเนื่องรวมลดลง 1.0% ในปี 2024 ผ่านมา

ด้านธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ลดเป้าหมายอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปี 2025 นี้ลงจากเดิมที่ 2.4% มาเหลือเพียง 1.7% นับเป็นมุมมองตัวเลขจีดีพีสหรัฐที่ลดต่ำลงจากภาพส่วนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง รวมถึงเมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ผ่านมา กองทุนประกันความเสี่ยงในสหรัฐอเมริกาขายหุ้นออกจากพอร์ตการลงทุนมากที่สุดในรอบ 2 ปีกว่า เพื่อลดการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ

ผลสำรวจเกี่ยวกับมุมมองภาวะเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกา พบว่าตัวเลขดังกล่าวในช่วง 5 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.5% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีหรือนับตั้งแต่เมษายนปี 1995 เป็นต้นมา และในช่วง 1 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.3% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2023 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles