นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรเตรียมเดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce โดยมุ่งเน้นสินค้าที่สั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศและได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งทำให้เกิดการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีการยกเว้นการจัดเก็บทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และอากรนำเข้า สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ตามข้อกำหนด De minimis Value เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้า ซึ่งต่อมาในเดือนก.ค. 2567 ได้ประกาศเริ่มเก็บ VAT สำหรับสินค้านำเข้าแล้วทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดดังกล่าวทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ค้าในประเทศที่มีการนำเข้าผ่านช่องทางปกติ อีกทั้งยังขาดการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามาและส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ
โดยศุลกากรเตรียมมาตรการใหม่ที่กำลังจะนำมาใช้คือการลดมูลค่าขั้นต่ำที่ได้รับยกเว้นอากรลงเหลือ 1 บาท หมายความว่าสินค้าที่มีมูลค่าเกิน 1 บาท จะต้องถูกจัดเก็บทั้งอากรนำเข้าและ VAT ซึ่งการลดเพดานนี้อยู่ภายใต้อำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยคาดว่าจะเริ่มการจัดเก็บอากรนำเข้ากับสินค้าที่มาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มในวันที่ 1 ม.ค. 2569 และไม่ต่ออายุการยกเว้นภาษีตามประกาศเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.2568
“คาดการณ์ว่าการจัดเก็บอากรในส่วนนี้จะสามารถเพิ่มรายได้เข้ารัฐได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ต่อปี โดยอัตราอากรเฉลี่ยของสินค้าเหล่านี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% และ VAT อีก 7%”
โดยหลังจากนี้ กรมมีแผนแก้กฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศให้เป็นอัตราเดียวในอนาคตอีกด้วย
เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรได้นัดพูดคุยกับแพลตฟอร์ม E-commerce รายใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada ในวันศุกร์นี้ (7 พ.ย.) เพื่อขอความร่วมมือในการส่งข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตรวจปล่อยสินค้า เช่น จำนวนชิ้น มูลค่า ภาษีนำเข้า และ VAT นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังจะขอให้แพลตฟอร์มช่วยตรวจสอบและขอความร่วมมือไม่ขายสินค้าที่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้นำเข้า เช่น บุหรี่ไฟฟ้า สินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน มอก.
นอกจากนี้ กรมศุลกากรจะเร่งเดินหน้านโยบาย “Customs Quick Big Win” ในด้านอื่นๆ เพื่อมุ่งสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมภายในระยะเวลา 4 เดือน โดยเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่กับการปกป้องสังคม และการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นธรรม โดยการใช้มาตรการทางศุลกากรเพื่อกระตุ้นให้เกิดการค้า (Trade Enabler) กรมศุลกากรจะมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และยึดหลักการว่าต้องไม่สร้างกติกาที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ทั้งการเร่งคืนภาษี เงินวางประกัน และเงินชดเชย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ โดยจะจัดลำดับความสำคัญในการพิจารณาจากยอดเงินที่ขอคืนที่สูง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์เร็วขึ้น
อีกทั้งจะมีการปรับปรุงกระบวนการตรวจปล่อยสินค้า ปรับกระบวนการตรวจสินค้าสู่มาตรฐานสากล และปรับปรุงการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) จากเดิมที่ดูเป็นรายธุรกรรม (Transaction base) ไปสู่การพิจารณาจากผู้ประกอบการ (Entity base) เพื่อลดภาระแก่ผู้ประกอบการที่สุจริต
กรมศุลกากรจะมีการปรับแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการ โดยการอำนวยความสะดวกการขนส่ง สนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรถไฟ และเปิดโอกาสให้ ICD (Inland Container Depot) เช่น ลาดกระบัง สามารถตรวจปล่อยสินค้าขาออกได้โดยตรง
รวมทั้ง ปรับปรุงพิธีการถ่ายลำ (Transshipment) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการทำให้การจัดทำใบขนสินค้าเป็นไปโดยอัตโนมัติ (Automate) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. จากเดิมที่จะต้องมีการขออนุญาตถึง 17 หน่วยงาน
กรมศุลกากรจะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะสินค้าทุ่มตลาด สินค้าปลอมแปลงถิ่นกำเนิด และสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สอดรับนโยบาย “Customs Quick Big Win” เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับบทบาทของกรมศุลกากร เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปกป้องสังคม และการเพิ่มรายได้ภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ