นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เพื่อให้สหกรณ์ออมทรัพย์สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงของหนี้สหกรณ์ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพการเงินโดยรวมนั้น มีความจำเป็นต้องเร่งออกกฎกระทรวงให้ครบถ้วน พร้อมบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง โดยมีระเบียบชัดเจน
ในปี 2567 ประเทศไทยมีสหกรณ์ทั่วประเทศรวม 6,092 แห่ง บริการสมาชิกกว่า 11 ล้านราย สหกรณ์ออมทรัพย์เป็นสหกรณ์ประเภทที่มีมูลค่าการให้กู้ยืมมากที่สุดถึง 2.27 – 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90% ของมูลค่าการให้กู้ยืมของสหกรณ์ทุกประเภท ขณะที่หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์คิดเป็น 15% ของหนี้สินครัวเรือนทั้งหมด ที่สำคัญ มีแนวโน้มการให้กู้ยืมเพิ่มขึ้น สะท้อนจากยอดกู้ยืมสหกรณ์เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2033 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ในขณะที่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2025 ทรงตัวเล็กน้อย ท่ามกลางยอดกู้ยืมธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐบาลลดลงต่อเนื่อง และลดต่ำกว่ายอดกู้ยืมสหกรณ์ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่สำคัญตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2022 มาถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2025 พบว่าภาพรวมยอดการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ลดลงถึง -3% ยอดการกู้ยืมของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐลดลงมาอยู่ที่ 1.3% แต่ยอดการกู้ยืมจากสหกรณ์กลับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.3%
แนวโน้มการให้กู้ยืมเพิ่มขึ้นนั้น ถึงแม้ว่าสหกรณ์จะเป็นลำดับรองจากธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ แต่กลับพบว่ามีการดำเนินงานที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และถือว่าเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจอย่างมากหากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี
การกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ของสมาชิกสหกรณ์เป็นช่องทางการกู้ยืมค่อนข้างง่าย สหกรณ์ออมทรัพย์มักจะไม่มีการตรวจสอบเครดิต หรือภาระหนี้ของผู้กู้ครอบคลุมเท่าธนาคารพาณิชย์ ข้อมูลของสหกรณ์ไม่เชื่อมโยงเข้ากับเครดิตบูโร และมีสหกรณ์ออมทรัพย์เพียงแค่ 6 แห่งจาก 1,369 แห่ง ที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับเครดิตบูโร การเข้าร่วมของสหกรณ์กับระบบเครดิตบูโรเป็นการสมัครใจเท่านั้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงหรือความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้กู้มีหนี้จากหลายแหล่งสถาบันการเงิน
นอกจากนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ต้องการเงินปันผลสูงสำหรับผู้ฝากเงิน และผู้ถือหุ้น ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยเงินกู้ของสหกรณ์สูงขึ้นด้วย แม้ธนาคารพาณิชย์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่สหกรณ์อาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตาม นอกจากนี้ การหักเงินเดือนของผู้ที่กู้ยืมเงินจากสหกรณ์นั้น บางสหกรณ์กำหนดวงเงินสุดท้ายของเงินเดือนที่หักหนี้แล้วเหลือน้อยกว่าปกติ หรือเหลือน้อยกว่า 30% ทำให้สมาชิกสามารถกู้ได้มากขึ้น และอาจนำไปสู่การกู้นอกระบบเมื่อเต็มวงเงิน
นอกจากนี้สหกรณ์ส่วนใหญ่ยังขาดแรงจูงใจในการช่วยเหลือลูกหนี้ เนื่องจากสหกรณ์สามารถหักเงินจากบัญชีลูกหนี้โดยตรงตามกฎหมาย และสามารถหักเงินเดือนจากผู้ค้ำประกันได้ด้วย ทำให้ไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ สะท้อนจากตัวเลขจำนวสหกรณ์มี 400 กว่าแห่งที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้ของสมาชิกสหกรณ์
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยต่อไปว่า หน่วยงานรัฐหลายแห่งพยายามแก้ไขปัญหาของสหกรณ์ ได้แก่ การออกมาตรการและแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์ เช่น การกำหนดให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกิน 4.75% ต่อปี กำหนดเกณฑ์เงินเดือนคงเหลือไม่น้อยกว่า 30% ของรายได้ การออกคำแนะนำของนายทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการให้เงินกู้แก่สมาชิกอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม รวมถึงการผลักดันให้สหกรณ์ออมทรัพย์เข้าเป็นสมาชิกกับเครดิตบูโร และการเตรียมออกมาตรการ Credit Lock เพื่อส่งข้อมูลสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้ไปยังเครดิตบูโร