สภาพัฒน์ เปิดจีดีพีไทยปี 2567 โตได้ 2.5% ได้แรงหนุนลงทุน ส่งออกไตรมาส 4 ส่วนปี 2568 มองขยายตัว 2.3 – 3.3% หวังลงทุนรัฐ -เอกชน ท่องเที่ยว มาตรการรัฐดัน

สภาพัฒน์ เปิด จีดีพี ไทยปี 2567 โตได้ 2.5% ได้แรงหนุนลงทุน ส่งออกไตรมาส 4 ส่วนปี 2568 มองขยายตัว 2.3 - 3.3% หวังลงทุนรัฐ -เอกชน ท่องเที่ยว มาตรการรัฐดัน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2567 และภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568

เนื่องมาจากเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ขยายตัวได้ 3.2% โดยการผลิตและค่าใช้จ่ายปรับตัวดีขึ้นทุกตัว โดยการลงทุนรวมขยายตัว 5.1% โดยภาครัฐขยายตัวได้ 39.4% และการส่งออกสินค้าขยายตัวได้ 8.9% อย่างไรก็ตามการลงทุนภาคเอกชนยังติดลบ 2.1% โดยเมื่อปรับฤดูกาลแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เมื่อปรับฤดูกาลแล้วขยายตัว 0.4%

ดังนั้นจึงทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัว 2.5% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 2% ในปี 2566 ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการอุปโภคภาครัฐบาลขยายตัว 4.4% และ 2.5% ตามลำดับ การลงทุนภาครัฐขยายตัว 4.8%

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลง 1.6% ส่วนมูลค่า การส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 5.8% ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการ ด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งและการขายปลีก และสาขาก่อสร้าง ขยายตัว 9.5% 9.0% 3.8% และ1.3% ตามลำดับ

ส่วนการผลิตสินค้า อุตสาหกรรม และสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ลดลง 0.5% และ 1.0% ตามลำดับ รวมทั้งปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 18.58 ล้านล้านบาท (5.26 แสนล้าน ดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นจาก 17.95 ล้านล้านบาท (5.15 แสนล้านดอลลาร์ สรอ.) ในปี 2566

ผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 264,607.7 บาทต่อคนต่อปี (7,496.0 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคน ต่อปี) เพิ่มขึ้นจาก 256,345.4 บาทต่อคนต่อปี (7,363.3 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี) ในปี 2566

สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.0 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4% และ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP

อย่างไรก็ตาม สศช. ยังคงประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.3 – 3.3% หรือค่ากลาง 2.8% จากปัจจัยหนุนด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.4 ในปี 2567 และเป็นการปรับเพิ่มจากการประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 3.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่อยู่ในเกณฑ์ดี และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ตลอดจนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาลคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.3 ชะลอ ลงจากร้อยละ 2.5 ในปี 2567 และลดลงจากร้อยละ 2.1 ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากการปรับสมมติฐานที่เปลี่ยนกรอบการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณประจำปี 2568 ในส่วนของงบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ไปใช้สำหรับการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงการปรับลดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569

การลงทุนรวมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.6 เทียบกับร้อยละ 0.0 โดยการลงทุน ภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 ฟื้นตัวจากการลดลงร้อยละ 1.6 และเป็นการปรับเพิ่มจาก ประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.8 สอดคล้องกับการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และการขยายตัวต่อเนื่อง ของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการขอรับการส่งเสริมการลงทุนใ นช่วง ปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.7 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.8 ในปี 2567 และเป็นการปรับลดลงจากร้อยละ 6.5 ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากการปรับสมมติฐานที่เปลี่ยนกรอบการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณประจำปี 2568 ในส่วนของงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ไปใช้สำหรับ การดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

รวมทั้งมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ต่อเนื่องจาก ร้อยละ 5.8 ในปี 2567 ตามแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของปริมาณการค้าโลกและการฟื้นตัวของ ภาคการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2567

ขณะที่ราคาส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงร้อยละ 0.0 – 1.0 ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ (-0.2) – 0.8 ชะลอลงจากร้อยละ 1.4 ในปี 2567

เมื่อรวมกับการส่งออกบริการ ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและ บริการในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 5.3 เทียบกับร้อยละ 7.8 ในปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 4.2 ในการประมาณการครั้งก่อน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles