สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จัดโครงการสร้างการตระหนักรู้เพื่อรับมืออุทกภัยในยุคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน โดยมี รศ.คร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบรรยายเรื่อง “แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการเกิดอุทกภัยในประเทศไทย” โดยกล่าวว่า อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นทำให้ในฤดูแล้งก็แล้งจัด ส่วนในฤดูฝนก็มีฝนตกเพิ่มขึ้นกว่าค่าปกติ อีกทั้งรูปแบบการตกของฝนยังเปลี่ยนไป เป็นการตกหนักในห้วงระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้เกิดน้ำไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันอย่างที่เกิดขึ้น ในปี 2567 ขณะเดียวกันคณะทำงานระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC-AR6) จัดทำรายงานซึ่งระบุว่า โลกจะยังคงมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด ดังนั้น หลายพื้นที่มีโอกาสจะเผชิญภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทั้งคลื่นความร้อน ภัยแล้ง และ น้ำท่วม ในการเสวนาหัวข้อ “อุตสาหกรรมประกันภัยและบทบาทในการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือภัยน้ำท่วม”
นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. กล่าวว่า เมื่อเกิดอุทกภัยรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือ สำนักงาน คปภ. ร่วมกับสมาคมประกันภัยเข้าไปช่วยเหลือ ผู้ ประสบภัยในพื้นที่ทันที ระยะแรกเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ต่อมาได้ยกระดับการช่วยเหลือเพื่อให้สามารถสำรวจความเสียหายและจ่ายค่าสินไหมทดแทน แก่ผู้ทำประกันภัยรูปแบบต่าง ๆ อย่างเร็วที่สุด
ด้านนายพงษ์ภาณุ ดำรงศิริ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันวินาศภัยไทยกล่าว ว่า การบริหารความเสี่ยงในอุตสาหกรรมประกันภัย จะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่นในปี 2554 ซึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง คือ พื้นที่ริมแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขา โดยระดับน้ำจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น แต่ในปี 2567 เกิดอุทกภัยในพื้นที่ที่ฝนตกหนักมากในระยะสั้นๆ น้ำไหหลากอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพัดพาดินโคลนมาด้วย ดังนั้น อุตสาหกรรมประกันภัยจะต้องปรับรูปแบบการบริหารความเสี่ยง และ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อให้ครอบคลุม ความเสียหายของผู้ทำประกันภัย