นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบัน โดยกล่าวว่า เฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ถ้าเฉลี่ยร้านที่ปิดตัวไปเขตละ 1,000 ร้าน นั่นหมายถึงปิดไปถึง 50,000 ร้าน ส่วนตามต่างจังหวัด เฉลี่ยปิดร้านพื้นที่ละ 100-200 ร้าน อาจทำให้ยอดรวมร้านอาหารที่ปิดตัว และหายไปทั่วประเทศแตะหลักแสนรายได้ สำหรับร้านอาหารจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี และร้านอาหารสตรีทฟู้ดทยอยปิดกิจการอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป โดยเน้นความสะดวกผ่านการใช้บริการแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากกว่าการเดินตลาด หรือเข้าใช้บริการหน้าร้านแบบเดิม นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัจจัยลบรอบด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจไทยซบเซา ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มสูง ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น ตลาดการท่องเที่ยวหดตัวลง หรือแม้แต่ปัจจัยสหรัฐอเมริกาจะเก็บภาษีนำเข้าที่ 36% ก็ยังส่งผลกระทบมาถึงธุรกิจอาหารด้วย
ร้านอาหารขนาดเล็กมีสภาพเปราะบางมากขึ้น เนื่องจากมีเงินสภาพคล่อง หรือสายป่านไม่มาก แถมไม่ได้จดทะเบียนจึงทำให้เจ้าของร้านเข้าถึงแหล่งทุน หรือมาตรการช่วยเหลือได้ยาก บางร้านต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ เมื่อเทียบกับร้านอาหารรายใหญ่ที่มีทุนได้เป็นปี ในขณะเดียวกัน ร้านอาหารหลายแห่งที่เคยเปิดสาขาหลายแห่งแต่ปิดตัวลง ทำให้ต้องเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นๆ เไมสาเหตุจากทำกิจการไปก็ไม่คุ้มกับต้นทุน เช่น ค่าแรงงาน ค่าเช่า และกำลังซื้อที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีพนักงานนับร้อย ต้องพึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยว หรือกำลังซื้อในวงกว้าง เมื่อรายได้หดหายและไม่พอจ่าย การลดค่าใช้จ่ายจึงเกิดขึ้นกระทบพนักงานตกงาน
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยต่อไปว่า พฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยที่เปลี่ยนมาใช้บริการสั่งอาหารลนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น LINE MAN หรือ Grab ย่อมส่งผลต่อหน้าร้านอย่างชัดเจน ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ร้านอาหารบรแพลทฟอร์มออนไลน์ขยายตัวมาก ส่งผลดึงดูดผู้ประกอบการร้านอาหารเข้าไปอยู่ใเยอในระบบออนไลน์มาก ดังนั้น ร้านอาหารที่พึ่งแต่ทำเล หรือโลเคชั่น พร้อมมีที่จอดรถ และต้องมีหน้าร้าน โดยไม่มีสร้างร้านอาหารตนเองบนโลกออนไลน์ จะกลายเป็นร้านอาหารกลุ่มเสี่ยง ในทางตรงกันข้าม ร้านอาหารบางรายที่อยู่ไกล แต่กลับมีคนจำนวนมากมายรอทานเป็นร้อยคิว เนื่องจากโดเมนูอาหารดี สมราคา และเข้าถึงออนไลน์ได้
