สินเชื่อแบงก์พาณิชย์ ไตรมาส 3 ปี 68 หดตัว 1% ต่อเนื่องกัน 5 ไตรมาสแต่ยังอยู่ในกรอบ หนี้เสียยังทรงตัว 

นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 3 ปี 2568 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยมีเงินกองทุน (BIS ratio) อยู่ที่ 21.3% จากไตรมาสก่อน ซึ่งอยู่ที่ 21.0% เงินสำรอง (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 179.8% จากไตรมาสก่อน ซึ่งอยู่ที่ 174.4% และสภาพคล่อง (Liquidity coverage ratio : LCR) อยู่ที่ 204% จากไตรมาสก่อน ซึ่งอยู่ 204.8%

ขณะที่สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 3 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวอยู่ที่ -1.0% ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า จากสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตของ SMEs และครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อธุรกิจ หดตัว -0.6% จากไตรมาสก่อนที่หดตัว -0.3% ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค หดตัว -1.7% จากไตรมาสก่อนที่หดตัว -2.1% ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อย อยู่ที่ 0.7% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 0.5%

ทั้งนี้ ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง ในขณะที่การชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3 ) ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัว จาก New NPL ที่ชะลอลงเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ไตรมาส 3 ปี 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท

สำหรับ สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ หดตัวต่อเนื่องกัน 5 ไตรมาส แต่อัตราการหดตัวไม่ลึกเท่ากับ cycle ในรอบของ Global Financing Crisis (GFC) หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในช่วงปี 2552 ที่สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ หดตัวมากถึง 3% แต่รอบนั้นสามารถฟื้นตัวได้เร็วภายใน 2 ไตรมาส ขณะที่ในรอบนี้ การหดตัวไม่ได้ลงลึก แต่ลากยาวกว่า

สำหรับสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% ส่วนหนึ่งจากผลของฐานสินเชื่อที่หดตัว สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับเพิ่มขึ้น ตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งจากการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.24% อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้

สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 3 ของปี 2568 ปรับลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง ตามการหดตัวของสินเชื่อ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ ทั้งจากการปรับลดโดยธนาคาร และตามมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ของไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 1.52 แสนล้านบาท ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า

สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้สะสมของระบบสถาบันการเงินในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2568 พบว่า มีลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือแล้วรวม 3.53 ล้านบัญชี แยกเป็น ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และนอนแบงก์ 1.99 ล้านบัญชี และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) อีก 1.54 ล้านบัญชี รวมเป็นยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 2.06 ล้านล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งมีลูกหนี้ที่ลงทะเบียนและมีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขให้ได้รับความช่วยเหลือตามโครงการ รวมถึง 9.4 แสนราย ครอบคลุมยอดหนี้รวม 6.2 แสนล้านบาท ซึ่งจากลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” สามารถช่วยลูกหนี้สินเชื่อรถได้ 3.1 แสนราย, ลูกหนี้สินเชื่อบ้าน 2.5 แสนราย และลูกหนี้สินเชื่อ SME 1.7 แสนราย ส่วนมาตรการ “จ่าย ปิด จบ” มีลูกหนี้ที่ปิดจบหนี้ได้แล้ว 1.6 แสนราย และลูกหนี้ จากมาตรการ “จ่าย ตัด ต้น” อีก 5.1 หมื่นราย

“สถาบันการเงิน อยู่ระหว่างทยอยทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ ซึ่ง ณ วันที่ 30 ก.ย.68 ปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วกว่า 6.2 แสนราย หรือคิดเป็น 66% ของลูกหนี้ทั้งหมด 9.4 แสนราย ยอดหนี้ 4.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 71% ของยอดหนี้รวม 6.2 แสนล้านบาท” นายสมชาย ระบุ

ทั้งนี้ ความช่วยเหลือภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” นั้น มีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 86.8% ต่อ GDP ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ 87.1% ต่อ GDP เป็นผลจากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ

ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP อยู่ที่ 81.3% จากไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 81.6% ต่อ GDP โดยเป็นการลดลงตามการก่อหนี้ที่ลดลงเป็นสำคัญ ด้านความสามารถในการทำกำไร ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเกือบทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัว

สำหรับผลที่มีต่อคุณภาพสินเชื่อ และระดับ NPL จากการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงที่ผ่านมานั้น นายสมชาย กล่าวว่า ในเชิงคุณภาพการลดดอกเบี้ยคงมีส่วนช่วยได้บ้าง แต่ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดในการฟื้นตัวของคุณภาพสินเชื่อ คือ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดี จะมีผลกับการฟื้นตัวของคุณภาพสินเชื่อได้มากกว่า ดังนั้น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะเป็นประโยชน์ที่ช่วยลดต้นทุนการเงินได้มากกว่า

“เราตามดูการส่งผ่านของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ว่าสถาบันการเงินลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามเท่าไร ซึ่งครั้งที่แล้ว เข้าใจว่าลด 100% จากการส่งผ่าน 25 สตางค์ครบ ถ้าดูจากการลดดอกเบี้ยทั้ง 4 ครั้ง สถาบันการเงินก็ส่งผ่านเกินครึ่ง ถือว่าดีกว่ารอบที่ผ่าน ๆ มา” 

สำหรับแนวโน้มภาพรวมสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 4 ปี 2568 นั้น นายสมชาย กล่าวว่า ยังประเมินได้ไม่ชัดนัก เพราะต้องขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาหลายโครงการ โดยที่เด่นชัด คือ โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในภาคครัวเรือนได้เป็นวงกว้าง

“แนวโน้มสินเชื่อในระยะต่อไป คงต้องรอประเมินการส่งผ่านของนโยบายรัฐด้วย ว่าช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมาได้ดีแค่ไหน และทั่วถึงแค่ไหน” นายสมชาย ระบุ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles