ซีเอ็นเอ (CNA) ซึ่งเป็นสื่อโทรทัศน์ และสำนักข่าวชื่อดังของประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยรายงานข่าวเฉพาะกิจความยาว 4 เบรก รวมนาน 45 นาที มีชื่อว่า อินไซด์ อาณาจักรสแกมแห่งอาเซียน เพื่อนำเสนอเกี่ยวกับอาเซียนกลายเป็นศูนย์กลางหลอกลวง(Scam)สำหรับการเชื่อมโยงจีนได้อย่างไร เริ่มจากข้อมูลของยูเอ็นเอชซีอาร์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศไทย เปิดเผยว่า ในแหล่งที่ตั้งของศูนย์กลางสแกมเมอร์ หรือศูนย์กลางคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงบนระบบออนไลน์ จะมีผู้คนที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 200,000 คนที่อยู่ในประเทศเมียนมา และกัมพูชา นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ปฏิบัติงานของสแกมเมอร์ขนาดย่อยอยู่ในมาเลเซีย สปป.ลาว และฟิลิปปินส์ อีกด้วย สำหรับประเทศไทยจะถูกใช้เป็นทางผ่านหลักที่บรรดาสแกมเมอร์ใช้หลอกลวงเหยื่อที่หลงเชื่อให้เดินทางผ่านประเทศไทยเข้าไปในประเทศเมียนมา หรือกัมพูชา
นายเจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำนวยการประจำประเทศเมียนมา สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา(USIP) หรือยูเอสไอพี เปิดเผยว่า กลุ่มเป้าหมายหลักและแรกสุดของแก๊งสแกมเมอร์จะเป็นเหยื่อชาวจีนที่อยู่ในประเทศจีน เนื่องจากบรรดา อาชญากรที่รวมตัวกันเป็นองค์กรสแกมเมอร์ล้วนเชื่อมโยงกับคนจีน สแกมเมอร์สามารถสร้างรายได้ได้มากกว่าปีละ 64,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.1 ล้านล้านบาท ซึ่งมาจากความเสียหายทางการเงินของเหยื่อทั่วโลกในไม่น้อยกว่า 110 ประเทศทั่วโลก
หนุ่มจีนวัยรุ่น 20 ปีต้นๆ จากมณฑลซานตง ประเทศจีน ชื่อว่าเสียวห่าว เปิดเผยในรายงานข่าวนี้ว่า สมัครงานด้วยการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์เกี่ยวกับงานลูกเรือ จากนั้นไม่นานมีชายคือจางติดต่อมา พูดว่ามีธุรกิจเดินเรือขนส่งสินค้า มีเรือขนาดใหญ่มากมายที่ท่าเรือในประเทศไทย และเสนอเงินเดือนให้ 7,000 หยวน หรือเดือนละกว่า 31,500 บาท เสียวห่าวหลงเชื่อและตกลงมาทำงานด้วย นายจางออกค่าเครื่องบินให้เสียวห่าวเดินทางโดยเครื่องบินจากมณฑลซานตงมาถึงมณฑลกวางตุ้ง เพื่อเปลี่ยนเครื่องบิน ซึ่งแทนที่จะบินตรงมาลงที่กรุงเทพแต่กลับกลายไปลงที่จังหวัดเชียงใหม่
หลังจากนั้นเสียวห่าวขึ้นรถตู้ที่แก๊งสแกมเมอร์จัดหามาเพื่อรอรับที่สนามบินจังหวัดเชียงใหม่ แล้วออกเดินทางต่อมายังจังหวัดตาก เสี่ยวหาว รู้สึกสงสัยว่าผิดปกติ จึงส่งจีพีเอสบนสมาร์ทโฟนของตัวเองให้พี่สาวรับรู้ว่ากำลังอยู่ที่จุดไหน กำลังเดินทางไปไหน จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเป็นการเดินทางไปตรงบริเวณชายแดนประเทศไทยกับเมียนมา เมื่อถึงจุดนัดพบ ตรงบริเวณชายแดนซึ่งมีแม่น้ำกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมา เสี่ยวห้าวต่อสู้กับคนขับรถตู้เพื่อจะหนีเอาตัวรอด แต่ในที่สุดมีชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธปืนข้ามจากฝั่งเมียนมาด้วยเรือมายังจุดที่รถตู้จอดอยู่ ซึ่งใช้อาวุธปืนบังคับให้ลงเรือข้ามไปฝั่งเมียนมาด้วยกัน
ส่วนหนึ่งของรายงานสกู๊ปข่าวดังกล่าวได้สัมภาษณ์นักวิชาการของไทย ได้แก่ ดร.รัชดา ไชยคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย กล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมามีการพูดถึงดินแดนที่ประกอบไปด้วยไทย เมียนมา และสปป.ลาว ถูกเรียกรวมกันว่าสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งหมายถึงในมุมของแหล่งผลิตยาเสพติด แต่ในปัจจุบันเมื่อพูดถึงสแกมเมอร์ พื้นที่สามเหลี่ยมตรงนี้ขยายออก แต่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ซึ่งประกอบด้วยเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา และถูกเรียกชื่อใหม่ว่าสามเหลี่ยมแพลตตินั่ม (Platinum Triangle) ซึ่งมูลค่ามันเยอะมาก และไม่สามารถตีค่าได้เลย
นายราชพฤกษ์ ชูดำ รองผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดี กล่าวว่าในสกู๊ปดังกล่าวว่า เสถียรภาพด้านการเมืองภายในประเทศเมียนมา ซึ่งปกครองโดยรัฐบาลทหารก็ยังไม่มีเท่าไหร่ มีการแบ่งชนกลุ่มน้อยออกเป็นกลุ่มต่างๆ ซึ่งรัฐบาลกลางก็ไม่สามารถควบคุมได้ ปล่อยให้ชนกลุ่มน้อยปกครองกันเอง กลุ่มทุนจีนก็จะอาศัยช่องว่างตรงนี้เข้ามาหาประโยชน์ในแต่ละพื้นที่ที่มีชนกลุ่มน้อย ซึ่งกำกับดูแลกันเองกลุ่มทุนจีนนี้จะเสนอผลประโยชน์ โดยการเข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิตกลุ่มนักหลอกลวงเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์
ดร.รัชดา ไชยคุปต์ กล่าวต่อไปว่า ในอดีต เราจะมองว่าผู้เสียหายเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ เป็นผู้ที่หาโอกาสทางเศรษฐกิจ มีฐานะที่ไม่ได้ดีมาก แต่ปัจจุบันแตกต่างกัน ในการที่จะถูกหลอกลวงไปทำงานที่คอลเซ็นเตอร์ของพวกสแกมเมอร์ต่างๆ จะใช้คนที่มีภาษาได้ เป็นคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ได้ รู้จักไอที
ภัทรพล วงดาว ผู้เสียหายคนไทยที่ถูกหลอกลวงไปเป็นเหยื่อแก๊งสแกมเมอร์ และรอดชีวิตกลับมาได้ กล่าวว่า หางานในเพจเฟซบุ๊กในต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน ผ่านไปสัปดาห์เดียว มีแอดมินทักมาว่าต้องการไปทำงานที่จีนมั้ย เป็นงานตอบไลน์สินค้านำเข้าจากจีน ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะถูกหลอก ทุกคนรู้ว่าสแกมเมอร์คืออะไร แต่ไม่เคยโดนหลอก เมื่อถูกหลอกไปที่แก็งค์สแกมเมอร์ ได้ไปทำงานที่รัฐฉานในประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นชายแดนอยู่ติดกับประเทศจีนนาน 5 เดือน ถ้าทำงานให้ไม่ได้ก็จะถูกลงโทษโดยการใช้กระบองฟาดถนัดที่สุดก็จะใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าที่ตัวเรา
นายจารุวัฒน์ ผูัก่อตั้งและรองบริหาร มูลนิธิอิมมานูเอล กล่าวว่า วิธีการหลอกมี 3 ช่องทาง ถ้าเป็นสื่อออนไลน์ก็จะใช้เฟซบุ๊กเป็นหลัก เป้าหมายคือกลุ่มคนที่กำลังมองหางานในเฟซบุ๊ก กลุ่มคนเหล่านี้จะแฝงตัวอยู่ในเฟซบุ๊ก เพื่อคอยหาเหยื่อ ช่องทางที่ 2 คือนายหน้า คนกลุ่มนี้จะเข้าไปเจอทักทายกันถึงบ้านแล้วก็ชักชวนว่ามีงานสนใจอยากให้ทำ และช่องทางสุดท้าย คือให้ตัวเหยื่อเป็นคนที่ชักจูงต่อเนื่อง เช่น ถ้าสามารถหาคนมาทำแทนได้ซักสามถึงสี่คนก็จะปล่อยตัวเหยื่อให้เป็นอิสระ