กรณีบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ออกมาตรการลดดอกเบี้ยและชะลอการจ่ายหนี้ให้กับผู้ประกอบการกรณีผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบินเผชิญสภาพคล่องตกต่ำ โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการให้เฉพาะ บริษัท คิง เพาเวอร์ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) แต่ ทอท.ได้ดำเนินการให้กับผู้ประกอบการหลายรายที่เผชิญปัญหา ซึ่งพบว่ามีการยื่นขอความช่วยเหลือเข้ามา 5–6 ราย นั้น
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่ากระทรวงฯ มองว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพราะหาไม่พยุงเขาไว้ ปัญหาก็จะเกิดต่อ ทอท.ในเรื่องของรายได้ต่างๆ ก็จะหายไป อีกทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการลดดอกเบี้ยจาก 18% ลดลงเหลือ 9% ยังถือเป็นดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง แต่หากปล่อยให้ผู้ประกอบการประสบปัญหา และอยู่ไม่ได้ก็จะทำให้รายได้ของ ทอท.หายไปหมด การประคองให้อยู่ด้วยกันได้จะดีกว่า และเราไม่ได้ทำให้ใครรายใดรายหนึ่ง
ซึ่งสาเหตุก็มาจากผลกระทบของปัญหาผู้โดยสารใช้จ่ายน้อยลง นักท่องเที่ยวจีนที่เคยมาไทยทางรัฐบาลก็มีการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเขา มีการพัฒนาพื้นที่เกาะไหหลำเป็นดิวตี้ฟรี ดังนั้นเดิมจีนมาไทยเพื่อมาจับจ่ายใช้สอย แต่ตอนนี้จีนไปเปิดที่ไหหลำ ก็ทำให้จีนมาช็อปปิ้งที่ไทยน้อยลง
ส่วนภาพรวมรายได้ของ ทอท.ในปีนี้ พบว่ามีสัญญาณบวกอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีรายได้เพิ่มขึ้น 18% เชื่อว่าปีนี้รายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนตอนนี้มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอกการรวมถึงคิงเพาเวอร์ที่เลื่อนจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทน เมื่อมีการเลื่อนจ่าย ทอท.ก็จะจัดเก็บดอกเบี้ย จึงไม่กระทบต่อรายได้ของ ทอท. ขณะเดียวกันมองว่าเรื่องนี้ต้องช่วยกันเพื่อดึงรายได้ ถ้าไม่ได้มีมาตรการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการทำธุรกิจต่อไม่ได้ การจะไปหาผู้ประกอบการรายใหม่ก็ไม่รู้ว่ารายได้ผลประโยชน์ตอบแทนจะได้เท่านี้หรือไม่ เพราะในการประมูลดิวตี้ฟรี ทางกลุ่มคิงเพาเวอร์ยื่นข้อเสนอสูงกว่าเอกชนรายอื่นเท่าตัว โดยพบว่าเฉพาะสัญญาดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ คิงเพาเวอร์เสนอผลประโยชน์ตอบแทน 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่เอกชนรายอื่นเสนออยู่ราว 7 – 8 พันล้านบาท โดยหากสามารถให้ธุรกิจยังเดินกันต่อไปได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีกว่าการเปิดประมูลใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะได้รายได้เท่านี้หรือไม่ และคิงเพาเวอร์ก็มีแบงก์การันตีอยู่ด้วย ก็ไม่ได้น่ากังวลว่าจะเป็นผลกระทบ