นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการศึกษาแนวทางการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) ว่าขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปดำเนินการศึกษาแนวทางการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว คาดว่า 6 เดือนนับจากนี้จะได้ข้อสรุป โดยยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะจะสามารถแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่กรุงเทพฯ อีกทั้งยังช่วยลดมลภาวะ PM2.5 และยังสามารถนำเงินค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บมาเข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อไปซื้อคืนรถไฟฟ้า เพื่อปรับราคาค่าโดยสารลงให้เหลือสูงสุด 20 บาท
นายสุริยะ กล่าวว่า การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด จากประสบการณ์ในหลายประเทศจะเห็นได้ว่าช่วงแรกประชาชนไม่เห็นด้วย แต่ในส่วนของไทยหลังประกาศนโยบายออกไปประชาชนส่วนใหญ่กว่า 60% เห็นด้วย หลังจากนั้นเริ่มพบว่าประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น รวมไปถึงคนที่ทำงานในบริเวณนั้นและจำเป็นต้องเดินทาง ซึ่งสิ่งสำคัญตอนนี้คือการทำความเข้าใจกับประชาชนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่นโยบายนี้จะเป็นผลดีต่อการใช้ชีวิตประจำวันสะดวกมากขึ้น โดยเบื้องต้นตนยืนยันว่านโยบายนี้จะไม่จัดเก็บค่าธรรมเนียมกับประชาชนที่มีที่พักอาศัยอยู่ในเขตเมืองของการจัดเก็บค่าธรรมเนียม เพื่อไม่เป็นการเพิ่มภาระค่าครองชีพของประชาชน ส่วนรายละเอียดของกลุ่มที่ต้องถูกจัดเก็บค่าธรรมเนียมนั้น คงต้องรอให้ สนข.ศึกษาข้อมูลแล้วเสร็จก่อน
ด้านนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากการรายงานของ สนข. ถึงผลการศึกษาเบื้องต้น ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ช่วงปี 2562-2565 สนข. ได้ความร่วมมือจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) ในการดำเนินการศึกษาและพิจารณารายละเอียดของการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด ขณะนี้ สนข.ได้ทบทวนผลการศึกษา เพื่อสนับสนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยในเบื้องต้นได้ศึกษาถึงมาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในพื้นที่ที่มีการพัฒนาระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า และรถขนส่งสาธารณะอย่างครอบคลุม และมีความสะดวกในการใช้งานแล้ว โดยเปรียบเทียบจากโมเดล 4 ประเทศ ประกอบด้วย 1.ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 2.ประเทศสิงคโปร์ 3.สต็อกโฮล์ม และโกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน และ 4.มิลาน ประเทศอิตาลี
นอกจากนี้ ยังได้นำรูปแบบการดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดใน 4 ประเทศที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้กับประเทศไทยให้มีความเหมาะสม ซึ่งจะพบว่าโมเดลต่างประเทศ จะมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่จัดเก็บค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน รวมทั้งจะมีการกำหนดช่วงเวลาจัดเก็บ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาที่การจราจรติดขัด โดยเฉพาะโมเดลที่ลอนดอน สหราชอาณาจักร พบว่าเมื่อมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดแล้ว ผลลัพธ์บนถนนที่ลอนดอนมีการจราจรติดขัดลดลง 16% และมีปริมาณผู้โดยสารขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น 18% ขณะที่รูปแบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ใช้ระบบการทำงานผ่านกล้องตรวจจับการรับรู้ป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ และยังมีวิธีการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน และออนไลน์ Internet Banking ซึ่งเป็นช่องทางที่สะดวก นับเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ตอบโจทย์การนำมาใช้จริง
ล่าสุดในปี 2567 สนข. อยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนในการศึกษาค่าธรรมเนียมรถติด หรือ Congestion Charge ในโครงการของ UK PACT โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดนโยบายเพื่อใช้กำหนดรูปแบบ และวิธีการ ตลอดจนค่าธรรมเนียม ในการนำรถยนต์ส่วนบุคคลเข้ามาในเขตพื้นที่ที่มีการติดขัดของการจราจรสูง โดยจะต้องศึกษามาตรการ ที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่ที่มีการพัฒนาระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า และรถขนส่งสาธารณะอย่างครอบคลุม และมีความสะดวกในการใช้งานแล้ว โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการการศึกษาคาดเห็นความชัดเจนในปี 2568