สำนักวิจัยกรุงไทย คอมพาสส์ (Krungthai COMPASS) ซึ่งอยู่ในเครือธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า โดรนจะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจส่งอาหาร หรือ Food Delivery ในไทยมากขึ้น จากปัจจัย 4 ข้อ ดังนี้
1) ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการขนส่งแบบดั้งเดิม ทั้งในมิติค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงาน และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาโดย PwC ประเมินว่าในปี 2567 ค่าใช้จ่ายโดยรวมในการใช้โดนเพื่อการขนส่งสินค้าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-25 เหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง แต่ในปี 2577 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าค่าใช้จ่ายในการใช้โดรนเพื่อการขนส่งสินค้าจะลดลงเหลือ 2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง หรือลดลงมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับ ปัจจุบัน อีกทั้งโดรนยังใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งถูกกว่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงค่อนข้างมาก รวมถึง โดรนมีอุปกรณ์ที่น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำกว่า
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปี 2572 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า การใช้โดรนในธุรกิจ Food Delivery จะมีความน่าสนใจมากขึ้น และเริ่มมีความคุ้มค่าในการเชิงธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่เคยศึกษาการใช้โดรนในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย โดยคาดว่าในปี 2572 การใช้โดรนจะมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2.2-2.8 ปี ซึ่งต่ำกว่าอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของโดรนที่ประมาณ 3 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการคืนทุนยังขึ้นอยู่กับอีกหนึ่ง ปัจจัยที่สำคัญ คือ อัตราการใช้โดรน (%Utilization) โดยหากผู้ลงทุนมีการใช้ %Utilization ของโดรนต่ำ ก็จะยิ่งทำให้ระยะเวลาในการคืนทุนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
2) ตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการด้าน Food Delivery สูง โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าชี้ว่า รายได้ของธุรกิจร้านอาหารในกรุงเทพฯ ในปี 2566 มีสัดส่วนถึง 82.5% ของรายได้ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก LINE MAN Wongnai ระบุว่า ปัจจุบันแพลตฟอร์ม LINE MAN Wongnai มีผู้ใช้กว่า 10 ล้านราย ต่อเดือน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สะท้อนว่าในแต่ละวันมีการสั่งอาหารแบบ Delivery เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ดังนั้นการใช้โดรนในการส่งอาหารจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรที่ติดขัดและช่วยให้ส่งอาหารได้เร็วขึ้น ส่งผลให้สามารถ รักษาคุณภาพและความสดใหม่ของอาหารไว้ได้ รวมถึงยังช่วยลดปริมาณรถจักรยานยนต์ที่ต้องใช้ในการส่งอาหารลงได้ ซึ่งมีส่วนช่วยลดปัญหาการจราจรในเมือง อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ดี เช่น สัญญาณ GPS ที่แม่นยำ และการเข้าถึงเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยสนับสนุนการส่งข้อมูลและการนำทางของ โดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) ช่วยลดปัญหามลพิษภายในเมือง การใช้โดรนและยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ เนื่องจากโดรนใช้พลังงานจากไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก รวมถึง ยังช่วยลดปริมาณยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในการส่งอาหาร ทำให้ปัญหามลพิษภายในเมืองใหญ่ เช่น ฝุ่น PM 2.5 บรรเทาลงได้ โดยในช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีค่า Air Quality Index (AQI) ถึง 165 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 9ของโลก ซึ่งการใช้โดรนในการขนส่งอาหารจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงกว่า 30%50% เทียบกับการใช้รถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน
4) ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลน Rider โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน เช่น ช่วงพักกลางวัน หลังเลิกงาน หรือในช่วงเทศกาล ที่มีความต้องการสั่งซื้ออาหาร Online เป็นจำนวนมาก รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจ Food Delivery ส่งผลให้ปัญหาการแย่งชิงพนักงาน Rider ทวีความ รุนแรงขึ้น และด้วยจำนวนพนักงาน Rider ที่มีจำกัด ทำให้พนักงานแต่ละคนต้องแบกรับปริมาณงานเป็นจำนวนมาก โดยจากผลสำรวจพบว่ามีพนักงาน Rider มากกว่า 37% ต้องทำงานมากกว่า 8 ชม. ต่อวัน และ กว่า 40% เป็นผู้ที่เข้ามาทำเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น การใช้โดรนอาจช่วยแบ่งเบาภาระงานของพนักงานลงได้ และช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการระบบการจัดส่งอาหารได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาด Food Delivery มีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
แม้ในปัจจุบันประเทศไทยจะมีการใช้โดรนในการ จัดส่งอาหารเชิงพาณิชย์ในวงจำกัด แต่จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และราคาของเทคโนโลยี โดรนที่มีแนวโน้มลดลงจะทำให้ภาคธุรกิจหันมาใช้โดรนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กอปรกับการปลดล็อกด้านกฎหมายที่จะทำให้ขั้นตอนการขออนุญาตการใช้โดรนง่ายขึ้น ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าในปี 2572 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า จะมีการใช้โดรนเพื่อขนส่งอาหารในธุรกิจ Food Delivery จะมีมูลค่าราว 1.6 พันล้านบาท และในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 2577 อาจมีมูลค่าถึง 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 66% ต่อปี