นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะผู้บริหารธปท.เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 ว่า การหารือกับ ธปท.ในครั้งนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกและแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน นับเป็นนิมิตหมายที่ดีในการสร้างความเข้าใจและลดช่องว่างในการสื่อสารระหว่างกัน โดย ส.อ.ท.และ ธปท.เห็นพ้องร่วมกันว่าเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนและการแข่งขันสูง ดังนั้นจึงต้องมีการร่วมกันวางแผนรับมือให้ดี
การประชุมร่วมกันครั้งนี้เน้นพิเศษใน 3 เรื่อง คือ 1. ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ แม้ว่าภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐฯ กำหนดเรียกเก็บจากสินค้าไทย 19% ก็ยังมีประเด็น RVC หรือ Regional Value Content เรื่อง Local Content การสวมสิทธิ์ ซึ่งยังไม่นิ่ง ทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ รวมทั้งกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ธุรกิจในหมวดอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่าได้รับผลกระทบ ถูกตัดสินเชื่อทันที ดังนั้น ส.อ.ท.อยากให้ ธปท.ช่วยเหลือให้ธนาคารพิจารณาเป็นรายๆ ไป ไม่ใช่เหมารวมทั้งหมด2. SMEs เป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูง และถูกตัดสินเชื่อเงินกู้เมื่ออยู่ในหมวดอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ และ 3. ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักราว 60% และภาคการท่องเที่ยวอีก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคนี้ อาทิ เวียดนามที่ค่าเงินด่องอ่อนค่าลง 3% กว่า แต่เงินบาทแข็งค่า 5% กว่า ทำให้สินค้าไทยมีราคาแพงกว่าประเทศคู่แข่ง และภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบ นักท่องเที่ยวต่างชาติหันไปเที่ยวประเทศเวียดนามแทน ล่าสุด IMF คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้โต 1.8-2.2% และปีหน้า GDP ไทยโต 1.6% ซึ่งค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ GDP และการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยมีปัญหา
ดังนั้นจึงต้องหาจุดสมดุลปรับค่าเงินบาทอย่าให้แข็งเกินไป โดยปัจจุบันยังขาดการ “Connect the Dots” ระหว่างหน่วยงานผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท ไม่ว่าจะเป็น ธปท. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมศุลกากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธปท.ได้รับข้อเสนอของภาคเอกชน โดยจะนำข้อมูลไปพิจารณาหาแนวทางร่วมมือแก้ปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากราคาทองคำที่ปรับขึ้น และการทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการฟอกเงินระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ส.อ.ท.เคยเสนอให้หน่วยงานรัฐเข้มงวดการตรวจสอบการส่งออกทองคำ หลังพบว่าปี 2566 มีการส่งออกไปกัมพูชากว่า 12,000 ล้านบาท และปี 2567 ส่งออกทองคำ 105,00 ล้านบาท และ 7 เดือนแรกปี 2568 ส่งออกทองคำไปแล้ว 71,000 ล้านบาท ดังนั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งจัดระเบียบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขณะนี้มีการดำเนินการเทรดทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์แล้ว ซึ่งตรงนี้จะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทได้
“ประเทศไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการรับมือผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การส่งเสริมการเปิดตลาดใหม่ การกระตุ้นและพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาหนี้และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ การลดต้นทุนพลังงาน มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน รวมทั้งความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท วันนี้ได้มาพบปะและหารือร่วมกัน จะได้หาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้” นายเกรียงไกรกล่าว
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภารกิจหลักของ ธปท.คือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1. สร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดและให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง 2. สร้างเสถียรภาพทางระบบสถาบันทางการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงิน และ 3. สร้างเสถียรภาพทางระบบการชำระเงิน ดูแลให้มีระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุผล
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมกังวล คือ การใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่รายการสินค้ามีการบังคับใช้ที่ต่างกัน บางรายการบังคับใช้แล้ว บางรายการอยู่ระหว่างไต่สวน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วน ไม้อัด ไม้บาง และวัสดุแผ่น เฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม หล่อโลหะ เครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้เสนอแนวทางการรับมือผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ว่า ภาครัฐควรสนับสนุนข้อมูลให้ผู้ประกอบการเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้สามารถรองรับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันมาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว (Transformation) ของธุรกิจและปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมกับหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เป็นต้น อีกทั้ง แนวทางรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท เพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนหรือแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)
ในส่วนของข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand : MiT) นายนาวาเสนอให้ผลักดันการใช้สินค้า MiT อย่างจริงจัง โดยส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ใช้สินค้า MiT และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจนในมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านระบบ e-bidding ภายใน 5 ปี รวมถึงให้ครอบคลุมถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งขยายตลาดสินค้า MiT สู่ภาคเอกชนภายใต้โครงการ “ซื้อของไทยเพื่อคนไทย” และผลักดันให้สินค้า MiT ก้าวสู่ตลาดโลก และยังเสนอให้จัดทำมาตรการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า MiT เพื่อเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs ว่าปัญหาหลักของผู้ประกอบการส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ ทักษะ นวัตกรรม บุคลากรเฉพาะทาง และเงินลงทุน ส.อ.ท.จึงได้เสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือ SMEs อย่างเป็นรูปธรรม โดยเสนอให้มีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบมีเป้าหมาย เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หากปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ประกอบการด้านการส่งออก นวัตกรรม หรือธุรกิจสีเขียว
นอกจากนี้ ยังเสนอให้สร้าง “ระบบเครดิตทางเลือก” ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลยอดขายผ่าน e-commerce ข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม และการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าแรงของธุรกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ “ธุรกิจสีเขียวและดิจิทัล” ด้วยการออกกรอบสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ 2% สำหรับ SME ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด การลดคาร์บอน ระบบอัตโนมัติ หรือการทำ Digital Transformation พร้อมปรับลดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาค SME
อีกทั้งยังเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการขยายพอร์ตการค้าประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จาก 30% เป็น 40% หรือปรับลดระยะเวลาการค้ำประกันต่อพอร์ตโฟลิโอลงจาก 10 ปี เหลือเพียง 5–7 ปี เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึงแหล่งทุน และเสนอให้จัดตั้ง “กองทุน SME” เพื่อใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ลดอุปสรรคเรื่องหลักประกันและขั้นตอนที่ซับซ้อน มีอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้กองทุนสามารถนำเงินหมุนเวียนกลับมาใช้ช่วยเหลือ SME รายอื่นต่อไป รวมถึงใช้ในการบริหารจัดการหนี้เสีย (NPL) อย่างมีประสิทธิภาพ