กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดสัมมนาวิชาการ BIOTEC FTI Forum ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ “Biotech Frontiers: Converging Sciences, Empowering the Future Economy” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Thailand Lab International 2025 โดยได้รับเกียรติจากนายโฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายปิยพงศ์ ชูวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และนายสุจินต์ วาจากิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยนายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต และนางพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล รองประธาน ส.อ.ท. เข้าร่วม เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ณ ห้อง Conference Room A ฮอลล์ 104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
งานสัมมนานี้กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุข ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด และพันธมิตร มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อยกระดับความรู้ ความเข้าใจ และเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) กำลังกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยรัฐบาลได้กำหนดให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.มีเป้าหมายที่แน่วแน่ในการขับเคลื่อนประเทศด้วย “First Industries” การยกระดับอุตสาหกรรมเดิมและ “Next-Gen Industries” (การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ โดยเน้นการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ผ่านนโยบายหลักในการขับเคลื่อน คือ “4 GO” ได้แก่ Go Digital & AI, Go Innovation, Go Global และ Go Green พร้อมทั้งได้ดำเนินการที่เป็นรูปธรรมหลายด้าน เช่น การจัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ และการผลักดัน 8 ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพเป้าหมายที่ใช้จุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเป็นรากฐาน
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งถือเป็น “ทุนทางธรรมชาติ” ที่สำคัญยิ่ง หากได้รับการต่อยอดด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมจะสามารถสร้างความแตกต่างและความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศได้ในระยะยาว การลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ของประเทศไทยเป็นคำตอบสำคัญสำหรับความท้าทายระดับโลก 4 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสุขภาพ พลังงานสะอาดและความยั่งยืน และการดูแลสังคมสูงวัย การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพจึงไม่ใช่แค่การสร้างเศรษฐกิจ แต่คือการ “สร้างอนาคต” ให้กับสังคมไทย
ภายในงานผสมผสานองค์ความรู้จากหลากหลายสาขาวิชา ทั้งวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์เศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืนและเข้มแข็ง เช่น Disruptive Herbal Technologies for the Future of Pet Care ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับสัตว์เลี้ยงในรูปแบบที่ไม่ใช่แค่การใช้แบบดั้งเดิม แต่เป็นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและน่าเชื่อถือในเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น
รวมทั้งเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ภาคอุตสาหกรรม และภาครัฐ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ