นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2568 แบ่งเป็น
การผลิต จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนสิงหาคม 2568 มีทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ 1.58% แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 6.11% จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลงร้อยละ 10.67 จากสิงหาคมปีที่แล้ว เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลง 21.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้ารวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลง 6.36%
จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 4.11% จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่นำเข้ามาขายในปี 2565 – 2566 โดยจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 ที่ 5.77%
ขณะที่ การผลิตเพื่อส่งออก เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 73,956 คัน เท่ากับ 65.82% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 10.67% ส่วนเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 623,069 คัน เท่ากับ 65.75% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกัน 9.24%
การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 38,410 คัน เท่ากับ 34.18% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 4.11% และเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ผลิตได้ 324,628 คัน เท่ากับ 34.25% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 ที่ 1.69%
โดยยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ 3.01% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 5.38% จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62% จากปีที่แล้ว รถกระบะขายได้ 10,960 คันลดลง 10.92% รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่ของนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากขึ้นแ จึงขอเสนอการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะได้เก็บภาษีมากกว่าเงินที่จะจ่ายซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายถ้าเศรษฐกิจดีวันดีคืน ข้อเสนอนี้เป็นของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) และสมาคมธนาคารไทย เมื่อปีที่แล้วที่เสนอรัฐบาลตั้งกองทุน 5 พันล้านบาท เพื่อค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุนโดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละ 5 หมื่นบาท ให้กับสถาบันการเงิน
โดยมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเงื่อนใขว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มียอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30% ตัวอย่างสมมติปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 30% ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้ รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากรถยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท (40,000คัน × 50,000 บาทค่อคัน)
การที่รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3% × 24,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท (ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาท x 40,000 คันที่เพิ่มขึ้น) เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษีสองประเภทนี้ “เพิ่มขึ้น” 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท และยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่นบริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้น ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยและพนักงานขายรถกระบะรวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นชำระหนี้ได้มากขึ้น(หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศและในประเทศลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตเป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที ส่วนเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาทขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีกสองปีข้างหน้าเมื่อยึดรถกระบะมาแล้วและประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น
การส่งออก โดยรถยนต์สำเร็จรูป เดือนสิงหาคม 2568 ส่งออกได้ 71,179 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 1.74% และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 17.30% จากส่งออกรถกระบะใช้น้ำมันลดลง 14.65% และรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันลดลง 35.09% เพราะการเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนสิงหาคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 67,917.28 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 8.07% โดยรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 602,975 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกัน 12.44%
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนสิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,486 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว 30.46% ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 318,574 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 59.20%
ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนสิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 10,575 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว 3.86% เดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 94,703 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคมปีที่แล้ว 0.10% ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 562,894 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 28.66%
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนสิงหาคม 2568 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,049 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว 22.83% ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 รวมทั้งสิ้น 76,720 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 26.96%