หนี้เสียไตรมาส 2 เพิ่มเป็น 2.83%  คุณภาพหนี้ธุรกิจไทยน่าห่วง มีสัญญาณลามไปธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ หนี้เสียรายย่อยชะลอลงแต่ยังสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  เปิดเผยว่า จากข้อมูลระบบธนาคารพาณิชย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในไตรมาส 2/68 สะท้อนว่า สัดส่วน NPL หรือ Stage 3 ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.83% จาก 2.81% ในไตรมาส 1/68 โดย NPL ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ยังคงมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs (7.79%) ขณะที่ NPL ของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ค่อนข้างทรงตัว (1.01%) ส่วน NPL ของสินเชื่อรายย่อยนั้น แม้จะลดลงบ้างในไตรมาส 2/68 แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย (4.07%) สินเชื่อบัตรเครดิต (3.92%) สินเชื่อบุคคล (2.76%) และสินเชื่อเช่าซื้อ (2.06%)

จากการพิจารณาชุดฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร หรือ NCB) ข้อมูลสินเชื่อธุรกิจล่าสุด ณ ไตรมาส 1/68 พบว่า หนี้ NPL (รวมหนี้ที่มีวันค้างชำระตั้งแต่ 91 วันขึ้นไป และหนี้ที่ได้มีการ Write-offs ไปแล้ว) และหนี้ Special Mention (SM หรือหนี้ที่มีวันค้างชำระ 31-90 วัน) มีสัดส่วนรวมกันอยู่ที่ 5.03% ของสินเชื่อธุรกิจโดยรวม ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับ 5.02% ในช่วงปลายปี 67 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หนี้ด้อยคุณภาพจากฝั่งภาคธุรกิจ กลับเคยดีกว่านี้ในช่วง 1 ปีหลังเปิดประเทศจากเหตุโควิด โดยเฉพาะในไตรมาส 2/66 ที่มีสัดส่วนหนี้ที่มีปัญหาการด้อยคุณภาพ (SM & NPL) ที่ 4.39%

นอกจากนี้ เมื่อจำแนกตามระยะเวลาการค้างชำระ กลับพบสัดส่วนหนี้ที่มีวันค้างชำระ 31-90 วันเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในช่วง 1 ปีหลังเปิดประเทศ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจที่ยังไม่ปกติ สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่มีการฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง

โดยสินเชื่อธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ยิ่งชัดเจนกว่าธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้น 

โดยจากการศึกษาพบว่า ธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กลงมา มีปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพมากที่สุด โดยธุรกิจกลุ่มซุปเปอร์ไมโครมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือ NPL ในสัดส่วน 14.81% ตามมาด้วยกลุ่มไมโคร (12.11%) กลุ่มขนาดเล็ก (9.75%) กลุ่มขนาดกลาง 6.51% และกลุ่มขนาดใหญ่ 1.37% 

นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานการณ์ NPL ของธุรกิจขนาดซุปเปอร์ไมโคร ไมโคร และขนาดเล็ก มีทิศทางที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างชัดเจนติดต่อกันมาแล้วหลายไตรมาสอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วัน ของทุกกลุ่มธุรกิจ ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นผลจากกิจกรรมการปรับโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในธุรกิจทุกขนาดตั้งแต่ช่วงต้นปี 67 หลังการเริ่มใช้เกณฑ์ Responsible Lending (RL) ของ ธปท. ซึ่งสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่ หรือราว 87.8% จะเป็นบัญชีของลูกค้าที่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) และเป็นบัญชีที่เพิ่งมีวันค้างชำระไม่เกิน 30 วันในสัดส่วนสูงถึง 77.9% ซึ่งสะท้อนแนวทางการแก้ปัญหาหนี้เชิงรุกก่อนการเป็นหนี้เสีย ช่วยยับยั้งไม่ให้หนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น

ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และมีความไม่แน่นอนสูง จึงทำให้ปรากฎสัญญาณเปราะบางของคุณภาพสินเชื่อในเกือบทุกธุรกิจหลัก อาทิ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจที่พักแรม ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 31 วันขึ้นไปต่อสินเชื่อรวมในธุรกิจดังกล่าวที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ปี 68 ขณะที่แม้ภาคการผลิตจะมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 31 วันขึ้นไป ขยับลงเล็กน้อยในไตรมาสล่าสุด แต่ก็ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง

SMEs มีการถดถอยของคุณภาพหนี้ติดต่อกันหลายไตรมาส ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจที่พึ่งพากำลังซื้อจากต่างประเทศและในประเทศ อย่างเช่นธุรกิจภาคการผลิตและที่พักแรม และธุรกิจที่พึ่งพากำลังซื้อจากในประเทศเป็นหลัก เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์

จุดที่น่าห่วงคือ การขยายวงของปัญหาการด้อยลงของคุณภาพหนี้ได้ลามมาที่ลูกค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีของสินเชื่อธุรกิจที่พักแรม ขณะที่ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกจะเห็นปัญหาชัดขึ้นที่ลูกค้าขนาดกลาง ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์นั้น ปัญหาสะท้อนออกมาในกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งอาจหมายความถึงผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดแบ่งกลุ่มหนี้ธุรกิจใหม่ตามลักษณะการชำระหนี้รายบัญชีในรอบ 1 ปีย้อนหลังของแต่ละจุดของเวลา โดยเริ่มจากการวิเคราะห์จากรหัสบัญชีตามฐานข้อมูล Commercial Database ของเครดิตบูโร และจัดเกรดสถานะของบัญชีที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการชำระหนี้ โดยจากผลการศึกษา พบว่า แม้บัญชีสินเชื่อธุรกิจส่วนใหญ่ถึงประมาณ 95% ยังอยู่ในกลุ่ม Good แต่ก็มีจำนวนที่ลดลงจากปี 67 ซึ่งตรงข้ามกับจำนวนบัญชีในกลุ่ม On-Off และ Distressed ที่เพิ่มขึ้น โดยจำนวนบัญชีในกลุ่ม On-Off ณ สิ้นไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 1.37 หมื่นบัญชี เพิ่มขึ้นจาก 1.09 หมื่นบัญชีในปี 67 ขณะเดียวกัน จำนวนบัญชีในกลุ่ม Distressed ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 4.97 หมื่นบัญชีในปี 63 มาที่ 6.63 หมื่นบัญชีในปี 67 และ 6.92 หมื่นบัญชีในไตรมาส 1/68 ตามลำดับ

จากการศึกษาธรรมชาติการไหลของหนี้เมื่อบัญชีสินเชื่อธุรกิจเริ่มมีสัญญาณของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ ว่ามีโอกาสจะเลื่อนชั้นกลับมาดีขึ้น หรือแย่ลงอย่างไรในไตรมาสถัดไป ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า เมื่อหนี้เริ่มมีวันค้างชำระเกิน 1 เดือนไปแล้ว อาทิ ค้างชำระในช่วง 31-60 วัน พบว่า บัญชีดังกล่าวยังมีโอกาสการฟื้นตัวกลับมาสู่ชั้นที่ดีขึ้นถึง 35.1% ในไตรมาสถัดไป ในทางกลับกัน พบว่า มีบัญชีอีกกลุ่มหนึ่งราว 11.8% จะไหลลงไปสู่หนี้ชั้น NPL ในไตรมาสถัดไป

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บัญชีลูกหนี้มีวันค้างชำระที่นานขึ้นจนเป็น NPL อัตราความสำเร็จในการแก้หนี้ด้วยวิธีปรับโครงสร้างหนี้จะลดลง ซึ่งน่าจะเป็นผลจากทั้งปัญหาสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจที่เรื้อรังรุนแรงเมื่อเวลาผ่านไป และแรงจูงใจในการกลับมาจ่ายหนี้อีกครั้งก็ยิ่งลดลง เพราะมูลหนี้รวมขยายใหญ่ขึ้นตามภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการค้างชำระ

ทั้งนี้ จากการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า หนี้ที่เป็นกลายเป็นสถานะ NPL ไปแล้ว จะมีโอกาสเลื่อนชั้นสถานะกลับมาเป็นหนี้ปกติ หรือมีวันค้างชำระไม่เกิน 30 วัน เพียง 9.2% (ในรอบระยะเวลา 1 ปีต่อมา) ขณะที่สัดส่วนอีกประมาณ 87.9% ยังคงอยู่ที่สถานะชั้น NPL ตามเดิม

ปัจจุบัน ทางการไทยมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจและลูกหนี้ครัวเรือนหลายมาตรการ โดยฝั่งครัวเรือน มีการออกแบบมาตรการตามระยะของปัญหาหนี้สินและประเภทของหนี้สิน ขณะที่ ฝั่งธุรกิจ มาตรการมักเน้นการครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วไป มากกว่าเฉพาะเจาะจง

ข้อมูล NCB จะเห็นว่า มาตรการ Responsible Lending มีประสิทธิผลมากที่สุดในการบรรเทาปัญหาการถดถอยของหนี้เสียผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกจัดชั้นเป็นหนี้เสีย โดยการปรับโครงสร้างหนี้จะทำให้สัดส่วนการฟื้นตัว (Success Rate) ของคุณภาพหนี้ ขยับขึ้นจาก 35.1% เป็นเกือบ 2 เท่า

อย่างไรก็ตาม การแก้หนี้ธุรกิจอย่างยั่งยืน คงต้องอาศัยบริบทและองค์ประกอบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการศึกษาของบทความนี้ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางแก้ไขหนี้ ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก 

1.การจัดกลุ่มลูกหนี้ และออกแบบมาตรการเฉพาะที่เหมาะสม

2.  ความร่วมมือจากทุกฝ่ายมีผลต่อความสำเร็จในการแก้หนี้

3. การแก้หนี้อย่างยั่งยืนแท้จริง ต้องจบที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles