หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ “เรียกความเชื่อมั่น เดินหน้าเศรษฐกิจไทยหลังเหตุแผ่นดินไหว” โดยมีเนื้อหาดังนี้
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาและกระทบมายังหลายพื้นที่ของประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
จากรายงานสถานการณ์ล่าสุดของ ศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 30 มีนาคม 2568 เวลา 18.00 น. พบว่า
• มีผู้บาดเจ็บ 33 ราย
• เสียชีวิต 18 ราย
• สูญหาย 78 ราย (ตัวเลขอาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการค้นหาและให้ความช่วยเหลือ)
ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ หอการค้าฯ ขอส่งกำลังใจไปยังทุกท่านและครอบครัวที่ประสบภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่และบุคลากรทุกฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลืออย่างไม่ลดละ และขอยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าต่อได้ หากมีการบริหารจัดการร่วมกันอย่างเต็มที่จากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนอย่างเป็นระบบ รวดเร็ว โปร่งใส และการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องออกสู่สังคม
หอการค้าไทยขอชื่นชมและเป็นกำลังใจต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนรวมถึงหน่วยงานความมั่นคงที่ระดมความช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ อาทิ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
พร้อมระดมทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบและประเมินสภาพอาคารอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ เพื่อเข้าแก้ไขสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างเต็มที่ ถือเป็น การบริหารสถานการณ์เชิงรุกที่ช่วยคลี่คลายความตื่นตระหนกและเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนอย่างยิ่งหอการค้าไทยขอให้ทางรัฐบาลช่วยประสานงานไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ให้มีหน่วยงานกลางที่ช่วยประสานงานเข้าแก้ปัญหาในรูปแบบเดียวกันกับกรุงเทพมหานคร
นอกจากนั้นยังขอชื่นชมหน่วยงานต่างๆ ที่ได้จัดมาตรการที่เหมาะสมและรวดเร็ว มายังประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ อาทิ
• มาตรการ “พักหนี้-ลดดอกเบี้ย” ของ ธปท รวมถึง 7 ธนาคารพาณิชย์ SMED Bank และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
• มาตรการด้านประกันภัย จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย ที่เร่งดำเนินการช่วยเหลือและจ่ายค่าสินไหมให้ผู้ถือกรมธรรม์ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้หอการค้าไทยขอนำเสนอแนวทางข้อเสนอของต่อภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้การจัดการด้านความปลอดภัยต่อระบบภัยพิบัติ รวมไปถึงการสร้างมาตรฐานใหม่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ มีดังนี้
1. เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในตึกอาคารอย่างรวดเร็วที่สุด โดยร่วมมือกับหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งดำเนินการสืบหาข้อเท็จจริงเพื่อเป็นแบบอย่างในการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต
2. กำหนดให้มีตรวจสอบโครงสร้างอาคาร ทั้งสำนักงาน โรงงาน อาคารสูง และสิ่งปลูกสร้างในทุกพื้นที่
ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย รวมถึงสอบหาข้อเท็จจริงถึงปัญหาที่เกิดเหตุขึ้น
3. เร่งจัดทำระบบเตือนภัยพิบัติไปสู่ภาคประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีโดยด่วน และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและซักซ้อมแผนฉุกเฉิน ในกรณีภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั้งภาคประชาชน ภาคสังคม และภาคธุรกิจ พร้อมสนับสนุนระบบสื่อสารฉุกเฉิน และอบรมเจ้าหน้าที่ในสถานประกอบการ
4. การส่งเสริมมาตรฐานผู้ออกแบบ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ระบบควบคุมอาคารและการควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในทุกจังหวัด โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เพื่อเสริมความเชื่อมั่นต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์
5. เร่งรัดมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการรายย่อย SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ รวมถึงการประสานผู้ประกอบการด้านก่อสร้างและวัสดุ เพื่อซ่อมแซมอาคารและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพ ราคาประหยัด อันจะเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน
6. การสื่อสารเชิงรุก เชิงบวกและสร้างความเข้าใจร่วมกับภาคีเครือข่ายในทุกจังหวัด เพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนมั่นใจว่าไทยสามารถบริหารสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. รัฐบาลควรมีหน่วยงานกลางที่จะเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ เพื่อสื่อสารให้ทันเวลา โปร่งใส อย่างถูกต้องตามสถานการณ์ที่เป็นจริงให้กับสาธารณชนและต่างประเทศได้รับทราบ
8. หอการค้าไทยกำลังดำเนินการจัดตั้งศูนย์ช่วยแก้ไขปัญหาการช่วยเหลือ SMEs และสมาชิก อาทิ การช่วยเหลือซ่อมแซมอาคารที่ได้รับผลกระทบ หรือมาตรการสินเชื่อ เพื่อแก้ไขผลกระทบดังกล่าว
หอการค้าไทยพร้อมประสานงานและสนับสนุนสมาชิก ที่เป็นผู้ประกอบการทั่วประเทศ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และร่วมฟื้นฟูประเทศไทยให้มั่นคง แข็งแรง และยั่งยืน
เราขอให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยความปลอดภัย และร่วมกันสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น