นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่านอกจากประเทศจีนจะเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยแล้ว จีนมีบทบาทสำคัญในฐานะพี่น้องที่ช่วยเกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยหอการค้าฯ ถือเป็นองค์กรภาคเอกชนไทย มีเครือข่ายทั่วประเทศกว่า 156,000 ราย โดยเฉพาะเครือข่ายหอการค้าจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จัดตั้งขึ้นโดยการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่ละจังหวัดให้เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน
โดยรูปแบบการค้าสมัยใหม่ โดยเฉพาะ E-Commerce มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสองประเทศ จีนถือเป็นต้นแบบที่ดีที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิตและ Supply Chain ในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการผลิตจนประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างแพลตฟอร์มระดับโลกที่สามารถเปิดตลาดการค้าของจีนได้ทั่วโลก ดังนั้น การเข้ามาลงทุนของจีนในในประเทศไทย นอกจากจะช่วยสร้างการจ้างงานและการเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังถือเป็นโอกาสสำคัญที่จีนจะช่วยให้ไทยสามารถยกระดับศักยภาพจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน นอกจากนั้นแล้ว ในด้านการศึกษา หอการค้าไทยในฐานะเจ้าของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดหลักสูตร “หลักสูตรเทพเซียน” ที่เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และการใช้ภาษาจีนเพื่อการเจรจาธุรกิจ ซึ่งดำเนินการมาแล้วถึง 4 รุ่น เกิดเครือข่ายภาครัฐ เอกชนระหว่างสองประเทศที่แน่นแฟ้น จึงมั่นใจว่าการจัดตั้ง “กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน” จะเป็นอีกหนึ่งกลไกของภาคเอกชนไทยและจีน ในการพูดคุย หาแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการค้า ตลอดจนเป็นเวทีในการพัฒนาและยกระดับรูปแบบการค้า การลงทุน เพื่อนำเสนอไปยังรัฐบาลของสองประเทศ ให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ และความท้าทาย ตลอดจนโอกาสใหม่ ๆ เพื่อกำหนดนโยบายระหว่างประเทศที่สร้างสรรค์ร่วมกันต่อไป
ทั้งนี้หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน ได้ประกาศร่วมกันถึงการจัดตั้ง “กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน” เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมรับมือต่อโอกาสและความท้าทาย ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก การแก้ไขอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่หนึ่ง และตัวแทนประสานงานของกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน ของทั้งสามองค์กร ได้กล่าวในงานแถลงข่าวว่า “ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-จีน ไม่เพียงแต่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยและจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง การจัดตั้งกลไกนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างสองประเทศมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังช่วยลดอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและข้อบังคับทางการค้า”
ทั้งนี้ การจัดตั้งกลไกดังกล่าว มีเป้าหมายหลักในการสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนไทยและจีนว่าจะสามารถร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะเป็นช่องทางหลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน และเราหวังว่าจะสามารถช่วยลดข้อกังวลและอุปสรรคต่างๆ ที่ภาคธุรกิจทั้งสองประเทศเผชิญหน้า พร้อมกันนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการขยายความร่วมมือไปยังอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจทั้งสองประเทศให้เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน กล่าวเสริมว่า “หอการค้าไทย-จีน” ยินดีสนับสนุนการจัดตั้ง “กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน” ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่จะเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งและรอบด้านของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนของสองประเทศ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการกระชับความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2568
หอการค้าไทย-จีน ได้จัดตั้งสหพันธ์หอการค้าไทย-จีนและสมาคมธุรกิจต่างๆ กว่า 80 สมาคม (สหพันธ์ฯ) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ระหว่างผู้ประกอบการไทยและจีน และเพื่อเสริมสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ประกอบการชาวจีนในประเทศไทย โดยมุ่งหวังที่จะให้สหพันธ์ฯ มีบทบาทในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไทย-จีน ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว
นางสาวเฉิน หวา ประธานสภาสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของกลไกนี้ว่าเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นที่การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่มีความยั่งยืนระหว่างสองประเทศ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่ายินดีและเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคน การก่อตั้ง “กลไกความร่วมมือเพื่อการประสานและส่งเสริมการค้าที่ยั่งยืนระหว่างไทย-จีน” และเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามแผนทั้ง 9 ข้อนี้จะวางรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นสำหรับความร่วมมือระหว่างไทยและจีนในอนาคต สมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย จะใช้ศักยภาพของแพลตฟอร์มที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศต่อไป และเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือนี้จะนำพาทั้งไทยและจีนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2544 มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงบริษัทจีนกับไทย ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 365 บริษัท รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่ติดอันดับโลก การลงทุนจากบริษัทจีนในไทยได้เสริมสร้างเศรษฐกิจและพัฒนาเทคโนโลยีให้กับประเทศ สำหรับความร่วมมือในอนาคต เราจะดำเนินการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจจีนกับ SME ของไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น