ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 43,065 จุด +201 จุด หรือ +0.47% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,859 จุด +44 จุด หรือ +0.77% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 18,502 จุด +159 จุด หรือ +0.87% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดขึ้น +1.2%, +1.1% และ +1.1% ตามลำดับ
ในเดือนกันยายน ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดขึ้น +2% ทำสถิติดีที่สุดในรอบ 11 ปี หรือตั้งแค่เดือนกันยายนปี 2011 เป็นต้นมา และยังปิดเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่จบไตรมาส 3 ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดขึ้น +8.2%, +5.5% และ +2.6% ตามลำดับ
สาเหตุจากหุ้นบริษัทผลิตไมโครชิปชื่อดังอันดับ 1 ของโลก เอ็นวิเดีย มีราคาปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่แตะที่ระดับ 138.07 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4,695 บาทต่อหุ้น ส่งผลราคาหุ้นเอ็นวีเดียพุ่งทะยาน 174% ตั้งแต่ต้นปีนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนผ่านมา หุ้นดังกล่าวมีราคาปิดนิวไฮเดิมที่ 135.58 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4,610 บาทต่อหุ้น ทำให้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมีราคาคึกคักทั้งกลุ่ม
นักลงทุนมั่นใจภาวะเงินเฟ้อเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากเงินเฟ้อผู้ผลิตเดือนกันยายนเท่ากับเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ เงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อย แต่เมื่อเทียบรายปีนั้น เงินเฟ้อทั่วไปดังกล่าวเพิ่มขึ้นน้อยสุดในรอบ 3 ปีกว่า นักลงทุนยังคงให้น้ำหนักปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองสหรัฐอเมริกาเนื่องจากเหลือเวลาอีกราว 5 สัปดาห์ที่จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา พบว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐครั้งต่อไปวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ มีโอกาสที่ 87% ที่ดอกเบี้ยจะปรับลง 0.25%