ดัชนี SET หุ้นไทยปิดช่วงเช้า ที่ระดับ 1,077.48 จุด ลดลง -47.73 จุด หรือ -4.24% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39,702.44 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่กดดัชนีมากที่สุด 5 อันดับแรก
1. GULF ปิดที่ 40.50 บาท ลดลง -4.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,138.27 ลบ.
2. KBANK ปิดที่ 149.00 บาท ลดลง -10.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,982.99 ลบ.
3. SCB ปิดที่ 116.50 บาท ลดลง -6.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,350.41 ลบ.
4. KTB ปิดที่ 21.00 บาท ลดลง -1.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,715.48 ลบ.
5. PTT ปิดที่ 30.25 บาท ลดลง -1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,714.75 ลบ.
ด้านดัชนี SET100 ปิดที่ 1,474.05 จุด ลดลง -66.63 จุด หรือ -4.32% ดัชนี SET50 ปิดที่ 684.32 จุด ลดลง -30.85 จุด หรือ -4.31% ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 227.62 จุด ลดลง -10.64 จุด หรือ -4.47%
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวขึ้นในวันนี้ (8 เม.ย.) โดยฟื้นตัวหลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวานนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ รวมทั้งการที่ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะปรับขึ้นภาษีจีน
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 33,030.66 จุด เพิ่มขึ้น 1,894.08 จุด หรือ +6.08% ดัชนีฮั่งเส็งปิดภาคเช้าที่ระดับ 20,140.78 จุด เพิ่มขึ้น 312.48 จุด หรือ +1.58% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,124.77 จุด เพิ่มขึ้น 28.20 จุด หรือ +0.91%
ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.85% และดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้น 0.44%
นักลงทุนยังคงจับตาผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้และภาษีศุลกากรพื้นฐาน เมื่อวันพุธที่ 2 เม.ย. โดยภาษีศุลกากรตอบโต้จะแตกต่างกันไปเป็นรายประเทศ นับตั้งแต่ 10-49% โดยขึ้นอยู่กับการตั้งกำแพงภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศนั้นๆ ที่มีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. ส่วนภาษีศุลกากรพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 10% เท่ากันทุกประเทศ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.