ตลาดหุ้นไทยในปี 2567 เผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยหลายประการ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตามในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี นักลงทุนเริ่มกลับมามองหาโอกาสในหุ้นที่มีพื้นฐานดี โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย คาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 จะเติบโตประมาณ 3.8-4% ได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักและกำลังซื้อในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยปรากฏว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้ รับอานิสงส์มาตรการรัฐ ทั้ง “Easy E-Receipt 2.0” ช้อปลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท กระตุ้นจับจ่ายคึกคัก ด้านหอการค้าฯ คาดเงินสะพัดแสนล้าน โบรกฯ ชี้เป็นโอกาสสะสมหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL CPAXT
โอกาสในกลุ่มค้าปลีก: CPAXT และ CPALL
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของ CPAXT ในปี 2567 จะมีผลกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยกำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงความสำเร็จจากการผสานกลยุทธ์ของโลตัสและแม็คโคร ผู้นำในธุรกิจค้าส่งค้าปลีก
ขณะที่ระดับราคาหุ้น CPAXT ในปัจจุบันที่มีค่า P/E 22 เท่า เมื่อเทียบกับ CPALL ที่มีค่า P/E 19 เท่า ถือว่าถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับลดลงเพิ่มเติมมีค่อนข้างจำกัด โดยเมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต CPAXT ถือว่าน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากโอกาสเติบโตในระยะยาว
ขณะที่ CPALL ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย ด้วยเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มากกว่า 13,800 สาขา คาดการณ์ว่า รายได้รวมของ CPALL จะเติบโตประมาณ 8-10% ในปี 2567 การฟื้นตัวของยอดขายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงการจัดโปรโมชั่นช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ราคาหุ้น CPALL ที่ P/E 19 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
3 ปัจจัยหนุน CPALL – CPAXT เด่น
สำหรับปัจจัยหนุน CPAXT และ CPALL ประกอบไปด้วย 1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และการสนับสนุนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ส่งผลบวกต่อธุรกิจค้าปลีก 2. การขยายธุรกิจและการลงทุนใหม่ โดย CPAXT ลงทุนในโครงการ Lotus’s Mall Bangna (The Happitat) ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ที่มั่นคงในอนาคต ด้าน CPALL เร่งขยายสาขา 7-Eleven ทั้งใน และต่างประเทศ 3.ความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก ทั้ง CPAXT และ CPALL ที่ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมและฐานลูกค้าที่กว้างขวาง
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) มองว่า CPALL ยังเป็นหุ้นเด่น หลังผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ ออกมาดีกว่าที่คาดจากแนวโน้มกำไรที่ดีขึ้นของจากทั้งแม็คโคร โลตัส ภายใต้ CPAXT (CPALL ถือหุ้น CPAXT อยู่ 34.91 %) รวมทั้งมีอัตราการเติบโตของเซเว่นอีเลฟเว่นสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ ส่งผลต่อเนื่องสำหรับผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงไฮ ซีซั่น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อปลายปีของภาครัฐ จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของ CPALL กลยุทธ์แนะนำ “ถือ” และทยอยซื้อสะสม
ขณะที่ความกังวลต่อหุ้น CPAXT ที่เผชิญแรงกดดันจากความกังวลของนักลงทุนในสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีเข้าลงทุน Lotus’s Mall Bangna จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ทว่าล่าสุดหลังการชี้แจงรายละเอียดต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) นักวิเคราะห์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองเป็นบวกต่อมติของ AIMC ที่ไม่ได้ห้ามลงทุน หรือชะลอการซื้อขาย ซึ่งสามารถคลายความกังวลของนักลงทุนสถาบันต่อทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนของ CPAXT
สรุปแล้วในภาพรวม ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญความท้าทาย แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ จะช่วยสร้างโอกาสให้หุ้นในกลุ่มค้าปลีกอย่าง CPAXT และ CPALL สำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง CPAXT และ CPALL ถือเป็นโอกาสในการสะสม เพราะหุ้นทั้งสองตัวนี้เต็มไปด้วยโอกาสเติบโตในระยะยาวและราคาหุ้นที่ยังอยู่ในระดับน่าสะสม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและปัจจัยเสี่ยงในตลาดอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจลงทุน