อยากเห็น ศก.ไทยโตเกิน 5% กูรูอสังหาฯ มองไทยต้องการเมกะโปรเจคท์ ชี้แนะ 11 ข้อลดละเลิกขั้นตอนราชการซ้ำซ้อนยันผุดที่อยู่อาศัยหลังละ 1.5 ล้านบาท

อยากเห็น ศก.ไทยโตเกิน 5% กูรู อสังหา ฯ มองไทยต้องการเมกะโปรเจคท์ ชี้แนะ 11 ข้อลดละเลิกขั้นตอนราชการซ้ำซ้อนยันผุดที่อยู่อาศัยหลังละ 1.5 ล้านบาท

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร และประธานคณะกรรมการบริษัท ผู้ก่อตั้งบริษัท ศุภาสัย จำกัด (มหาชน) เสนอแนวทางการบริหารเศรษฐกิจไทยขยายตัวเกิน 5% มีดังนี้

ประเทศไทยเราควรมีการเติบโตของผลิตภัณฑ์รวม ไม่เพียงแต่ให้มากกว่าร้อยละ 5 ต่อปี แต่ต้องให้เติบโตในอัตรานี้ต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 15 ปีด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้รายได้คนไทยเฉลี่ยประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน จะได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 37,000 บาทต่อเดือน ใกล้เคียงกับมาเลเซียในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้คนไต้หวัน และเกาหลีใต้ ในปัจจุบันเท่านั้น

เราอยากเห็นคนไทยเลิกจน ใช่ไหม ?

เราอยากเห็นประเทศไทยก้าวข้ามกับดักความยากจน ไปสู่ประเทศพัฒนาที่ไร้คนจน ซึ่งต้องควบคู่กับนโยบายการกระจายรายได้ที่ดีด้วย หลายๆ คนบอกว่าประเทศไทยกำลังจมปลัก ถอยหลังเข้าคลอง จากที่เศรษฐกิจเคยโตเกิน 5% ต่อปี เดี๋ยวนี้เหลือ 2% หลายๆ คนบอกว่ามองไม่เห็นอนาคต แล้วเราจะมีวิธีอย่างไร ?

หันมาดูจังหวัดหนึ่งของไทย ที่มีสถิติการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือจีดีพีเติบโตในรอบ 10 ปี = 8.3% ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศมาก คือภูเก็ต เป็นจังหวัดที่เปิดกว้าง มีชาวต่างชาติมาพำนักและทำงานในภูเก็ต(ยังไม่นักท่องเที่ยว)ประมาณ 33,068 คน จากประชากรทั้งสิ้น 429,583 คน หรือประมาณ 7.7% หรือประมาณ 5 เท่าเศษ เมื่อเทียบสัดส่วนของชาวต่างชาติทั้งประเทศที่มีเพียง 1.5% ของประชากรทั้งหมด

ประชากรไทยในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้นมาตลอดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย 1.05% ต่อปีหรือ 11.1% ในรอบ 10 ปี การมีประชากรเพิ่มขึ้น รวมกับนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม ทำให้การอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้น ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นกระจายไปทั่วเกาะ การเพิ่มขึ้นของประชากรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจใน “ภูเก็ต” เติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ประชากรไทยทั้งประเทศกลับค่อยๆ ลดลง จะไม่มีวันเป็นไปได้เลย ถ้าเราไม่คิดใหญ่ และเอาจริง

ถ้าประเทศไทยจะสร้าง Mega Project ที่มีประโยชน์ ที่จะมาเสริมเพิ่ม GDP จะเป็นไปได้ไหม ? ที่ผ่านมา รัฐฯ พยายามเข้าลงทุนในสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆ แต่ด้วยข้อจำกัดของหนี้ภาครัฐบาลต้องไม่เกิน 60% ของ GDP จึงทำให้โครงการดีๆ จำนวนมากต้องถูกระงับการพิจารณาหรือต้องเลื่อนออกไป ที่จริงแล้ว ประเทศไทยควรใช้ศักยภาพที่ตั้งของภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ ถ้ารัฐฯ ใช้วิธีการรัฐฯ-ราษฎร์ ร่วมทุน หรือ พีพีพี โดยใช้เพียงทรัพยากรที่มีอยู่ของรัฐฯ ส่วนใหญ่ คือ ที่ดิน และรัฐฯ ใช้อำนาจที่รัฐมีอยู่ในการออกใบอนุญาตให้สัมปทาน และออกกฎเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้โครงการต่างๆ เป็นไปได้ ก็จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้จำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจประเทศเจริญก้าวหน้า คนมีงานทำมากขึ้น และรายได้ดีขึ้น เรื่องของหนี้สาธารณะก็จะไม่เป็นปัญหาต่อไป เพราะเอกชนเป็นฝ่ายลงทุนค่าก่อสร้างและพัฒนา ส่วนรัฐฯ ใช้เพียงที่ดินของรัฐฯ ในการร่วมทุน และได้อำนาจรัฐฯ ในการออกใบอนุญาตสัมปทาน และส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น

1. ยกระดับกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางการเงิน การลงทุน การค้า การซื้อขายหลักทรัพย์ข้ามประเทศต่างๆ

ปัจจุบันศักยภาพของ “กรุงเทพฯ” ใกล้เคียงกับสิงคโปร์และฮ่องกงแล้ว ไม่ได้ต่างกันมากเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่บริษัทข้ามชาติต่างๆ ยังคงเกาะกลุ่มกันใน 2 เมืองดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาทางสิงคโปร์และฮ่องกง จูงใจตั้งอัตราภาษีต่ำกว่าไทย อำนวยความสะดวกต่างๆ ในการทำธุรกรรม การจดทะเบียน ตลอดจนการอนุมัติวีซ่าสำหรับคนต่างชาติ ที่ง่ายกว่า

ถ้ากรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางการเงิน การลงทุน การค้า การซื้อขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศชั้นแนวหน้าอีกแห่งหนึ่งของโลก และได้ประโยชน์มหาศาลจากการมาตั้งบริษัทฯ คนต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถจะมาทำงานระยะยาว แทนที่จะพักเพียงไม่กี่วันเหมือนนักท่องเที่ยวชั่วคราว เพราะกรุงเทพฯ ยังมีข้อดีหลายหลายเรื่องที่สิงคโปร์และฮ่องกงไม่มี คือ สะดวกสบายกว่า ผู้คนเป็นมิตรมากกว่า และค่าใช้จ่ายการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตคุ้มค่ามากกว่า แต่สิ่งที่เราต้องปรับปรุงแก้ไขคือระบบราชการที่เข้มงวดกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องการเอกสารประกอบจำนวนมาก ใช้เวลา ขออนุญาตนานกว่า ชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย ต้องไปรายงานตัวทุกๆ 3 เดือน เป็นต้น

สิ่งที่ชาวต่างชาติเรียกร้อง คือ การยืดระยะเวลาการเช่าหรือทรัพย์อิงสิทธิจาก 30 ปี เป็น 90 ปี และการใช้มาตรการทางภาษีจูงใจมากขึ้น ให้มากขึ้นเทียบเท่าสิงคโปร์ และยูเออี วิธีการ เพียงแค่ออกมาตรการจูงใจส่งเสริมที่ดีพอและประกาศให้ทั่วโลกรับรู้ เพราะปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ค่อนข้างพร้อมอยู่แล้ว สิ่งสำคัญต้องยกเลิกระบบราชการที่ยังมีขั้นตอนซับซ้อนและใช้เวลานาน เราจำเป็นต้องปฏิรูปขนาดใหญ่ ถ้าเอาจริง ใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็พอแล้ว ในการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ให้เหลือเท่าที่สิงคโปร์ใช้อยู่ ถ้าโครงการนี้ จูงใจให้ชาวต่างชาติมืออาชีพมาอยู่ และทำงานในไทยได้ปีละ 10,000 คน คนหนึ่งๆ ใช้ประมาณ 4 ล้านบาทต่อปี เราจะได้รายได้ประมาณ 40,000 ล้านบาท

2. การสร้างเขื่อนกั้นป่าแม่น้ำเจ้าพระยา+ช่องจอดเรือพร้อมประตูปรับระดับน้ำสำหรับเรือเข้าออก เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานครและจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ในกรณี ที่น้ำทะเลหนุน ทำให้น้ำท่วมในช่วงน้ำหลาก ตั้งงบลงทุนทำเขื่อนกันน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ยังไม่มีการดำริสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมจากทะเลหนุนแต่อย่างใด เงินลงทุนโครงการนี้ใช้เงินไม่มาก สามารถทำได้ในวงเงิน 10,000 -20,000 ล้านบาท แล้วแต่เราจะทำขนาดใหญ่-เล็ก และต้องการได้ที่ดินในทะเลบางส่วนมาเพิ่มเพื่อปลูกสร้างอาคารหรือไม่

3. โครงการ Southern Seaboard และ Land Bridge มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ท่าเรือน้ำลึกระนอง, ชุมพร 636,477 ล้านบาท ระบบขนส่ง ถนนและราง 220,000 ล้านบาท ระบบขนส่ง สินค้าระหว่างท่าเรือ 140,000 ล้านบาท ปัจจุบัน ไทยเรายังมีรถบรรทุกและขบวนรถไฟที่ขนส่งสินค้าไปส่งออกที่ท่าเรือปีนัง เพราะเราไม่มีท่าเรือน้ำลึกฝั่งตะวันตกที่ควรมี โครงการนี้ คือ การใช้ศักยภาพทางของภูมิศาสตร์ของไทยที่ประเทศอื่นๆ ไม่มี ให้เป็นประโยชน์ ถ้าแล้วเสร็จ ทำให้ภาคใต้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก และทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลระหว่างตะวันออกกับตะวันตก แทนที่สิงคโปร์ที่เป็นอยู่เดิม

บางคนบอกว่า โครงการนี้ไม่คุ้ม เพราะระยะทาง และเวลาอ้อมใต้แหลมมลายูไม่มากนัก ที่จริงคนที่จะบอกว่าเป็นไปได้หรือไม่ คือ ผู้ลงทุนที่เราเชื้อเชิญมาจากทั่วโลก เพียงแต่เราถ้าจะยืดหยุ่นเรื่องจำนวนปีการให้สัมปทาน หรือยอมให้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมควบคู่กันไป ก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ถ้าใช้เวลาสร้าง 10 ปี แค่เพียงในช่วงก่อสร้าง ก็จะเกิดมูลค่าการลงทุนเพิ่มอีกปีละ 100,000 ล้านบาท

4. การสร้างสะพานข้ามอ่าวไทย จากเกาะสีชัง ไปยังประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปเชื่อมกับ Southern Seaboard สะพานนี้มีความยาวเพียง 100 กิโลเมตร ซึ่งการก่อสร้างง่ายกว่า และค่าก่อสร้างน่าจะถูกกว่าการสร้างสะพานและอุโมงค์ใต้ทะเลจากฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ที่ใช้เงินเกือบ 6 แสนล้านบาทมาก และจะยกระดับศักยภาพการคมนาคมภายในประเทศ ตลอดการขนส่งสินค้าจาก EEC ไปลงเรือที่ท่าเรือฝั่งตะวันตกสะดวกรวดเร็วมากขึ้น เป็นการเสริม Southern Seaboard และ Land Bridge ให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น และจะช่วยให้การส่งออกของไทยดียิ่งขึ้น

5. รถไฟความเร็วสูง โครงการแรกจาก กรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย ค่าก่อสร้าง กรุงเทพฯ-โคราช 179,413 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง โคราช-หนองคาย 341,351 ล้านบาท รวมเป็นเงิน ประมาณ 520,000 ล้านบาท โครงการนี้ ใช้เวลานานมากกว่าที่ควรไปหลายเท่าตัว เพราะรัฐฯ คิดลงทุนเอง และตัดสินใจช้า ทำให้เงินที่ลงไปยังไม่เกิดประโยชน์ สมควรที่จะเร่งจัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง และเอื้อประโยชน์ให้การส่งออกได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรจะชักชวนนักลงทุนเอกชนจากทั่วโลกมาลงทุน พัฒนาสร้างสายใต้เชื่อมต่อกับมาเลเซียและสิงคโปร์ และสายเหนือไปยังเชียงใหม่ เชียงราย ความเจริญก็จะกระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และทั่วถึง เราควรส่งเสริมการลงทุน โดยปรับเงื่อนไขให้จูงใจพอ เช่น ระยะเวลาสัมปทานโครงการ และการเอื้อให้พัฒนาเชิงพาณิชย์รอบสถานีต่างๆ เป็นต้น จะทำให้โครงการเหล่านี้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น

6. สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) โดยไม่จำเป็นต้องมี กาสิโนไว้ในโครงการก็ได้ สวนสนุก Amusing Park ขนาดใหญ่ต่างๆ ตัวอย่าง เช่น Disney World, Universal Studios, Gardens by the Bay ของ Singapore ที่เป็นทั้งที่พักผ่อนหย่อนใจและได้เรียนรู้ด้วย เป็นต้น ถ้ามี 3 แห่ง แต่ละแห่งมูลค่า 10,000 ล้านบาท ก็จะได้เงินลงทุน 30,000 ล้านบาท+รายได้ตามหลังจากการบริหารอีก

7. สนามกีฬาขนาดใหญ่, Concert Hall, Performing Arts Center ส่งเสริมการลงทุนให้สร้างในเมืองใหญ่ทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อยกระดับศักยภาพการกีฬา ให้เป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น โอลิมปิกได้ และเพื่อดึงดูดการแสดงระดับโลก เช่น ตัวอย่างการจัด Concert ของ Taylor Swift ที่สิงคโปร์ เป็นต้น เราสามารถจัดเป็นโครงการส่งเสริมการลงทุนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดมูลค่าการลงทุนได้เป็นหลักหลาย หมื่นล้านบาท สิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานที่คนรายได้น้อยต้องการ แต่เป็นปัจจัยวัดความเจริญของประเทศ และเป็นสิ่งอำนวยคุณภาพชีวิตที่ชาวต่างชาติต้องการ

8. พิพิธภัณฑ์ต่างๆ, ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ โรงงานกำจัดขยะ โรงงานทำปุ๋ย อุตสาหกรรมที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร การแพทย์+ สุขภาพ ฯลฯ ส่งเสริมให้เอกชนสร้างทั่วประเทศ ถ้าแต่ละแห่งมูลค่า 500 ล้านบาท ถ้ามีจำนวน 100 แห่ง ก็จะเป็นมูลค่าการลงทุน 50,000 ล้านบาท

9. ส่งเสริมบ้านผู้มีรายได้น้อยและปานกลางค่อนข้างน้อย ถ้ารัฐฯ ใช้มาตรการส่งเสริมที่อาศัยหลังยุค “ต้มยำกุ้ง” ด้วยการลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.11% ค่าธรรมเนียมจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนอง จาก 1% เหลือ 0.01% รวมเป็นส่วนลด 6.17% มาส่งเสริมให้คนรายได้น้อยและรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อย ในรูปบ้านจัดสรรหรือคอนโดฯ ที่มีมูลค่าหน่วยละ 1 ถึง 2 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยต่อหน่วยละ 1.5 ล้านบาท มาตรการนี้จะได้ใจประชาชนมาก ที่เสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัว เพราะกฎหมายต่างๆ และการควบคุมของรัฐฯ เข้มงวดและสูงขึ้นมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา จนทำให้ความหวังของคนรายได้น้อยและปานกลางค่อนข้างน้อยเลือนหายไป

ยังมีคนถามว่า “การรอนสิทธิ์” ประชาชน ด้วยการเพิ่มมาตรการสิ่งแวดล้อมและมาตราฐานจัดสรรที่ดินที่ไม่จำเป็น ตลอดจนเพิ่มต้นทุนอาคารที่ไม่จำเป็น ที่เอื้อให้คนรวยอยู่ดีขึ้น แต่กลับรอนสิทธิ์ ทำให้ประชาชนรายได้น้อยและปานกลางค่อนข้างน้อยไม่สามารถซื้อ “ที่อยู่อาศัย” ซึ่งเป็นปัจจัยสี่ที่จำเป็นของชีวิตตามอัตภาพนั้น ขัด “รัฐธรรมนูญ” หรือไม่

ถ้าแต่ละปี โครงการนี้มีผู้ใช้สิทธิ์ทั่วประเทศ 100,000 หน่วย ก็จะเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 150,000 ล้านบาท โดยรัฐ ฯ ต้องจ่ายเงินสนับสนุนเพียง 9,250 ล้านบาทต่อปี แต่รัฐฯ จะได้เงินภาษีกลับคืนมาในรูปแบบของภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% รวมกับ ส่วนคงเหลือของภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าธรรมเนียมโอนฯ และจำนองรวม 0.13% และภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 12% หรือ มูลค่าเกือบ 18,000 ล้านบาท

10. การส่งเสริม ชาวต่างชาติ ให้เข้ามาพำนักในประเทศไทย เราควรเพิ่มมาตรการส่งเสริมชาวต่างชาติ ให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยในระยะปานกลาง-ยาว แทนการส่งเสริมการท่องเที่ยวระยะสั้นๆ ในกรณีต่างๆ ดังนี้ การส่งเสริมให้นักเรียน / นักศึกษา เข้ามาศึกษาหลักสูตรนานาชาติในประเทศไทย

ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 1,000,000 บาทต่อราย ก็จะเป็นเงินละ 10,000 ล้านบาท การส่งเสริมให้ผู้สูงวัยจากประเทศที่รายได้สูงกว่า (โดยเฉพาะประเทศที่มีอากาศหนาว) ย้ายมาเกษียณในประเทศไทย ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 1,000,000 บาทต่อราย ก็จะเป็นเงินละ 10,000 ล้านบาท ส่งเสริมให้นักวิชาชีพต่างๆ ทั้ง Digital Technology, Finance, Marketing ที่เราขาดแคลนเข้ามาทำงานในประเทศไทย

ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 4 ล้านบาทต่อราย ก็จะเป็นเงิน ปีละ 40,000 ล้านบาท การส่งเสริมให้นักลงทุนประเภทต่างๆ ตั้งแต่ ลงทุนในหลักทรัพย์ เงินตรา อสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนธุรกิจการค้า การบริการ และอุตสาหกรรมต่างๆ ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 10 ล้านบาทต่อราย ก็จะเป็นเงินปีละ 100,000 ล้านบาทต่อปี

11. การส่งเสริมและนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ตามการวิจัยของ UNCTAD ว่า ประเทศกำลังพัฒนา ถ้าดึงเศรษฐกิจนอกระบบ ที่มีถึงเกือบร้อยละ 50 ของทั้งหมด เข้าสู่ระบบเพียงบางส่วน อาจทำให้ GDP โตขึ้นได้ตามส่วน 1-2% ต่อปี

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles