นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัด ตั้งบริษัทใหม่ ปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 46,383 ราย มีอัตราการจัดตั้งใกล้เคียงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ม.ค.-มิ.ย.66) และเป็นไปตามเป้าที่กรมเคยตั้งยอดการจดทะเบียนครึ่งปีแรกไว้ที่ 44,000 – 47,000 ราย คาดว่าเป็นผลจากมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ เช่น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเพื่อการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากขึ้น รวมทั้งการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า เสถียรภาพทางการเมือง และความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้การคาดการณ์ยอดจดทะเบียนธุรกิจ ทั้งปี 2567 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ปี 2566) ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ ในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000 – 47,000 ราย
ส่วนยอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือนมิถุนายน 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 7,351 ราย ลดลง 148 ราย คิดเป็น 1.97% เมื่อเทียบกับจากเดือนพ.ค.2567 ที่ผ่านมา และลดลง 275 ราย คิดเป็น 3.61% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 27,979.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,091.95 ล้านบาท คิดเป็น 27.83% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (พ.ค.67) และลดลง 11,760.65 ล้านบาท คิดเป็น 29.59% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจในเดือนนี้มีการกระจายตัวในทุกประเภทธุรกิจ โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 566 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 522 ราย และ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 330 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.70% 7.10% และ 4.90% จากจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนมิถุนายน ตามลำดับ
สำหรับ จำนวนการจดทะเบียนเลิก 1,416 ราย เพิ่มขึ้น 412 ราย คิดเป็น 41.04% เมื่อเทียบกับเดือน ที่ผ่านมา (พ.ค.67) และลดลง 243 ราย คิดเป็น 14.65% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (มิ.ย.66) โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 4,903.58 ล้านบาท ลดลง 49,900.75 ล้านบาท คิดเป็น 91.05% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (พ.ค.67) และลดลง 1,391.43 ล้านบาท คิดเป็น 22.10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (มิ.ย.66)