อาลีบาบา ยักษ์เทคโนโลยีจีน ปลดพนักงาน 20,000 คนในปีผ่านไป รวมปลด 40,000 คนใน 2 ปีติด

อาลีบาบา ยักษ์เทคโนโลยีจีน ปลดพนักงาน 20,000 คนในปีผ่านไป รวมปลด 40,000 คนใน 2 ปีติด

อาลีบาบา (Alibaba) กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังระดับโลกจากจีนแผ่นดินใหญ่ ปลดพนักงานจำนวนมากถึง 20,000 ในปี 2023 ผ่านไป ซึ่งจำนวนพนักงานอาลีบาบาที่ต้องตกงานในปี 2023 มีจำนวนเท่ากับพนักงานที่ถูกปลดในปี 2022 ส่งผลให้อาลีบาบาปลดพนักงานรวมกันมากถึง 40,000 คนใน 2 ปีติดต่อกัน

เมื่อสิ้นสุดปี 2023 ผ่านไป อาลีบาบามีพนักงานรวมทั้งหมด 219,260 คน ซึ่งลดลงจากจำนวนที่ใกล้กับ 240,000 คนเมื่อช่วงสิ้นปี 2022 ซึ่งข้อมูลนี้ได้ถูกระบุในรายงานสรุปผลประกอบการรายได้สำหรับฤดูกาลการขายในเทศกาลหยุดยาวของบริษัท

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2022 อาลีบาบาเริ่มต้นตัดลดค่าใช้จ่ายด้วยการประกาศปลดพนักงานราว 7% ของพนักงานที่เหลืออยู่ในปีนั้น นับเป็นการปลดพนักงานครั้งแรกในปี 2022 และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 ปีเศษ สำหรับพนักงานที่เข้าข่ายถูกปลดออกในรอบนี้เป็นพนักงานในกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการเก็บรักษาข้อมูลในระบบคลาวด์ สาเหตุจากอาลีบาบาเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจและควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายก่อนที่จะนำธุรกิจใน 4 กลุ่มย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเร็วๆนี้ ด้านผลประกอบการในกลุ่มธุรกิจคลาวด์ พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ปี 2022 มีรายได้ 2,690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 91,460 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา

การปลดพนักงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ของอาลีบาบาที่ผ่านมา มีจำนวน 9,241 คนในเมืองหางโจว ลงมาเหลือที่ 245,700 คน ส่งผลให้จำนวนพนักงานที่ต้องตกงานในช่วงครึ่งปีแรกของ 2022 เพิ่มเป็น 13,616 คน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี 4 เดือน หรือนับตั้งแต่มีนาคม 2016 เป็นต้นมาที่อาลีบาบามีจำนวนพนักงานลดลง ในขณะเดียวกัน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสภาพคล่องของบริษัทที่มีอายุมาถึง 23 ปี โดยก่อตั้งในปี 1999

อาลีบาบา เปิดเผยว่า ผลประกอบการด้านรายได้สุทธิลดลงเหลือ 22,740 ล้านหยวน หรือ 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 122,400 ล้านบาท นั่นหมายถึงรายได้สุทธิตกต่ำหนักถึง -29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้วที่มีรายได้สุทธิที่ 45,140 ล้านหยวน หรือราว 225,700 ล้านบาท สอดคล้องกับด้านกำไรสุทธิลดลงรุนแรงถึง -50% ลงมาเหลือเพียง 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 122,400 ล้านบาท

นายมาร์วิน เฉิน นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence เปิดเผยว่า บริษัเทคโนโลยีจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านกฎระเบียบเพิ่มขึ้นโดยไตรมาสที่ 2 ปีนี้ จะเป็นหนึ่งในไตรมาสที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19

นอกจากนี้ นโยบายไม่อยู่ร่วมกับโรคระบาดโควิด-19 ได้สร้างอุปสรรค ข้อจำกัด และปัญหาอย่างมากมายที่กระทบต่อภาคธุรกิจเอกชนทั้งของชาวจีน และบริษัทต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อการผลิต ซึ่งนำไปสู่ปัญหาคอขวดของห่วงโซ่การผลิต นอกจากนี้ ยังกระทบต่อกำลังซื้อที่ตกต่ำลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ปัญหาหนี้เสียในระบบอสังหาริมทรัพย์ของจีนแผ่นดินใหญ่

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles