อินโนเวสท์ เอกซ์ มองหุ้นไทยวันนี้ยังแกว่งตัว ฟื้นกรอบจำกัด นับถอยหลังทรัมป์ขึ้นภาษี

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาด SET แกว่ง Sideways-up ดัชนีน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้บ้างหลังสะท้อนปัจจัยลบไปมาก รวมทั้งแรงหนุนจากกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น แต่กรอบบนยังจำกัด นลท. ยังระมัดระวังการลงทุนก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้และการขึ้นภาษีรถยนต์ของสหรัฐฯ จะประกาศใช้ 2 เม.ย. นี้ ประเมินแนวรับที่ 1,155 – 1,150 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,165 – 1,170 จุด

ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวน อาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า หาก ปธน. ทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีต่อเนื่องและมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าคาดจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก และกดดันทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำนิวโลว์ อย่างไรดีหาก SET ปรับตัวลงไปในช่วง 1,100-1,130 จุด จะเป็นโอกาสลงทุน เนื่องจากมี Downside จำกัด ขณะที่พิจารณาเศรษฐกิจของจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งภาคการผลิตและบริการจากความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษี แต่มองจะไม่แย่อย่างที่ตลาดกังวล ด้านเงินเฟ้อไทย มี.ค. น่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. มากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้งที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1.หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ Div. Yield อย่างน้อย 3% หุ้น SET50 ที่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100 BCH BTG
2.หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และ 2) คาดจ่ายปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว แนะนำ KTB BBL KBANK
3.หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT AMATA BJC CPF
4.Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้ผลบวกทางอ้อมจากเหตุแผ่นดินไหว HMPRO SCCC TRUE ADVANC STECON 2) Domestic Play หากกังวลสงครามการค้ารุนแรงขึ้น CPALL ADVANC TRUE BTG BCH และ 3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเข้าสู่ เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากสถิติให้ผลตอบแทนช่วง เม.ย. เฉลี่ย 2.8% ใน เม.ย. ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT CPALL) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT) และกลุ่มการแพทย์ (BCH BDMS)

ส่วนปัจจัยสำคัฐได้แก่
•6 องค์กรด้านเศรษฐกิจและตลาดเงินแถลงเรียกความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ-ตลาดทุนหลังแผ่นดินไหว ตลท.รับกระทบตลาดหุ้นระยะสั้น ธปท. จับตาผลกระทบใกล้ชิด ห่วงกระทบอสังหาและท่องเที่ยวชั่วคราว
•รมช. คลัง เผยผลกระทบจากแผ่นดินไหวต้องรอประเมินก่อนแต่เชื่อว่ากระทบระยะสั้น และมีผลต่อจีดีพีเล็กน้อย ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินหมื่นให้กับผู้มีอายุ 16-20 ปี ยังคงเดินหน้าแจกตามไทม์ไลน์เดิม
•สสว. เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMESI) ก.พ. 2668 อยู่ที่ 52.1 ลดลงจาก 53.1 ใน ม.ค. จากภาคการผลิตที่ความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าค่าฐานครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
•ธปท. เผยภาวะเศรษฐกิจและการเงิน ก.พ. 2568 ค่อนข้างชะลอลงจาก ม.ค. จากจำนวนและรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงไป อีกทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนลดลง
•จีนเผยดัชนี PMI ภาคการผลิต มี.ค. ปรับขึ้นแตะ 50.5 จาก 50.2 ใน ก.พ. ทั้งนี้ดัชนี PMI มี.ค. ขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 1 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้น ศก. จีนช่วยหนุน ศก. ให้ฟื้นตัว
•ปธน.ทรัมป์เผยจะเรียกเก็บภาษี 25-50% ต่อประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หากมองรัสเซียกำลังขัดขวางความพยายามในการยุติสงครามในยูเครน ส่งผลให้ตลาดกังวลอุปทานน้ำมันโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว
•ปธน.ทรัมป์ประกาศว่าวันที่ 2 เม.ย.จะเป็นวันแห่งการปลดปล่อยของสหรัฐ โดยรัฐบาลจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% รวมทั้งเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อทุกประเทศทั่วโลก

ขณะที่ หุ้นที่น่าสนใจได้แก่ PTT : มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น และเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกองทุน ThaiESG เนื่องจากมี SETESG Rating ระดับ AAA อีกทั้งยังมีจุดแข็ง ดังนี้ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 สูงราว 7% และ CPAXT : มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งเติบโตได้ต่อเนื่อง โดย 1Q68 คาดกำไรจะเติบโต YoY จากยอดขายสาขาเดิมและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ปี 2568 คาดกำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ที่ 18% ทั้งนี้หลังควบรวมกิจการคาด Synergy จะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2568-70 อีกทั้งมีเงินปันผลจ่ายจากกำไร 2H67 ที่หุ้นละ 0.53 บาท (XD 8 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 2%

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles