นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ( ส.อ.ท. ) เปิดเผยว่า แนวโน้มการผลิตรถยนต์ในไทยปี 2567 มีโอกาสที่จะแตะระดับ 2,000,000 คันหากมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า(EV)ภายในประเทศและทำการส่งออกเพิ่มขึ้น รวมไปถึงทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยยังมีทิศทางที่ขยายตัวจากปี 2566 อย่างไรก็ตามยอมรับว่ายังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด
โดยส.อ.ท.ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,850,000 คัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 800,000 คัน จากที่ดูขณะนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้โดยมาจากการผลิตเพื่อส่งออกที่เกินเป้าเลยไปชดเชยส่วนที่จำหน่ายในประเทศที่ลดลง ดังนั้นภาพรวมปี 2567 น่าจะเติบโตขึ้นอีกเล็กน้อยส่วนจะถึง 2,000,000 คันไหมก็มีโอกาสถ้า EV มีการผลิตและส่งออกมากขึ้น
อย่างไรก็ตามยังคงกังวลปัจจัยภายนอกจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะกระทบต่อการส่งออกที่ปัจจุบันมีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์หลายด้านโดยสงครามรัสเซีย–ยูเครน ก็ยังคงอยู่ และยังมีการสู้รบอิสราเอล–กลุ่มฮามาส ความขัดแย้งที่ลามไปยังทะเลแดง ในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งจีน–ฟิลิปปินส์ เกาหลีเหนือและใต้ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าติดตาม ขณะที่ปัจจัยภายในคือเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบางจากภาวะหนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ยที่สูง ฯลฯ ทำให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อซื้อรถยนต์
ทั้งนี้ยานยนต์ไฟฟ้ายังคงมาแรงและหลายฝ่ายมองว่าเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง โดยปีนี้จะมีค่ายรถยนต์เริ่มผลิต EV ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 1 (EV3.0) จากรัฐบาลและล่าสุดยังมีมาตรการส่งเสริมระยะ 2 หรือ EV3.5 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและจะเข้ามามีส่วนแชร์การตลาดของรถยนต์สันดาปภายใน(ICE)ให้ปรับตัวลดลง แต่กระนั้นสัดส่วนของ ICE โดยรวมก็ยังคงสูงกว่าEV อยู่พอสมควร
ซึ่งหากประเมินว่าการเข้ามาของEV ที่จะเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดของ ICE ได้ทั้งหมดนั้นมองว่าในไทยยังอาจใช้ระยะเวลาอีกอย่างต่ำ 6-10 ปีเนื่องจากก่อนหน้าสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยประเมินกันว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 ปีซึ่งมาถึงปัจจุบันก็จะเห็นว่าเลยเวลาแล้วแต่การมาก็ไม่ได้เร็วอย่างที่คาดไว้ด้วยหลายปัจจัยทั้ง ด้านราคารถ สถานีชาร์จ เทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนเร็วและที่สำคัญคือค่าครองชีพประชาชน ฯลฯ