อุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกไทย ปี 68 จ่อโตได้ 24% ชะลอลง แนวโน้มส่งออกไปสหรัฐลดลงจากผลกระทบกำแพงภาษี จีนเป็นคู่แข่งหลัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มอุปสงค์และอุปทานเม็ดพลาสติกชีวภาพโลก จากอุปสงค์เม็ดพลาสติกชีวภาพโลกคาดจะขยายตัว 28.6% ในปี 2568 ขึ้นแตะระดับเกือบ 2 ล้านตัน ซึ่งแรงหนุนสำคัญของการขยายตัวมาจากความต้องการในตลาดจีน และ EU ที่กำลังเติบโตตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมโลกที่ทวีความเข้มข้นขึ้น เช่น การห้ามใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่ย่อยสลายในภาคขนส่งพัสดุของจีนภายในปี 2568 และการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของ EU ที่จะเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้น

โดยแนวโน้มการขยายตัวดังกล่าว หนุนสัดส่วนอุปสงค์เม็ดพลาสติกชีวภาพในตลาดโลกปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 0.4% ของปริมาณอุปสงค์เม็ดพลาสติกทุกประเภท จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 0.3%

กระแสรักษ์โลกมีส่วนผลักดันให้อุปสงค์เม็ดพลาสติกชีวภาพมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 13.4% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่าการขยายตัวของตลาดเม็ดพลาสติกฟอสซิลที่เฉลี่ยอยู่เพียง 2%

อุปทานเม็ดพลาสติกชีวภาพโลกคาดจะขยายตัว 37% ในปี 2568 ขึ้นแตะระดับ 2.3 ล้านตัน โดยกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพโลกกลับมาเร่งขยายตัวต่อเนื่องอีกครั้ง หลังผู้ผลิตชะลอการลงทุนในโรงงานใหม่ในช่วงการระบาดของโควิด-19

สหรัฐฯ EU และจีน เป็นผู้นำในการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพโลก ครองส่วนแบ่งการผลิตรวม 51% ของกำลังการผลิตโลก ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 4 ครองสัดส่วน 10%

ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกชีวภาพไทย
-ส่งออกเม็ดพลาสติกชีวภาพไทยคาดจะขยายตัว 24% ในปี 2568 ชะลอตัวจาก 51% ในปีก่อนหน้า
-ส่งออกเม็ดพลาสติกไทยยังคงเติบโตตามอุปสงค์ตลาดโลก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างจีน และ EU ซึ่งครองสัดส่วนส่งออกไทยรวมกันราว 70% ทั้งนี้ ตลาดหลักดังกล่าว แม้จะเป็นผู้นำการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพโลก แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ

อย่างไรก็ดี การเติบโตของส่งออกเม็ดพลาสติกชีวภาพคาดว่าจะมีทิศทางชะลอลง จากการที่ต้องเผชิญการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะจีนที่กำลังลงทุนขยายกำลังการผลิตใหม่ รวมไปถึงการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลงจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีนโยบายลดข้อจำกัดจากกฎระเบียบสิ่งแวดล้อม เช่น การกลับมาอนุญาตให้ใช้หลอดดูดที่ทำจากพลาสติกฟอสซิลได้ เป็นต้น

ตลาดเม็ดพลาสติกชีวภาพในประเทศคาดจะขยายตัวจำกัดที่ 2% ในปี 2568 เพราะราคาที่ยังคงสูงกว่าเม็ดพลาสติกทั่วไปราว 2-3 เท่า แม้ว่าในปี 2568 ต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาลทรายและแป้งมันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลง เพราะผลผลิตอ้อยและมันสำปะหลังเพิ่มสูงขึ้นจากปรากฎการณ์ลานีญา (รูปที่ 7 และ 8) ทว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่มีทิศทางลดลง ก็ส่งผลให้ราคาพลาสติกฟอสซิลย่อตัวลงเช่นกัน

ขณะที่ ราคาเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ยังคงสูง ทำให้ตลาดเป้าหมายจำกัดอยู่แต่เพียงกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่หันมาใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพมากขึ้น เช่น ช้อน/ส้อม หลอดดูด และจาน/ชาม เป็นต้น

สำหรับปริมาณผลผลิตวัตถุดิบทางการเกษตร ก็ยังคงเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรม เพราะผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพมักเป็นพันธมิตร และทำสัญญาล่วงหน้ากับผู้แปรรูปสินค้าเกษตรในการจัดหาวัตถุดิบ

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกชีวภาพไทย
•ต้นทุนวัตถุดิบทางเกษตรของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยเฉพาะวัตถุดิบอย่างอ้อยที่ไทยมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ราว 1,400 บาทต่อตันอ้อย สูงกว่าคู่แข่งอย่างบราซิลที่อยู่เพียง 1,050 บาทต่อตันอ้อย หรือคิดเป็นกว่า 33% ขณะที่ไทยก็มีกลไกอุดหนุนของภาครัฐที่มุ่งพยุงราคาพืชผลเกษตร ทำให้ราคาวัตถุดิบอาจจะมีแนวโน้มลดลงไม่มากนัก และมีความเสี่ยงที่การลงทุนผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพอาจจะมีการกระจายไปยังประเทศคู่แข่งของไทยในอนาคต
•การมาของ พ.ร.บ. Climate Change ที่อาจกดดันให้ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพต้องจัดหาวัตถุดิบทางเกษตรจากแหล่งปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการปลูกอ้อยของไทยที่ปัจจุบันมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 305 กิโลกรัมต่อไร่ โดยสาเหตุหลักมาจากการเผาไร่อ้อยหลังการเก็บเกี่ยว
•ตลาดในประเทศที่อาจจะยังคงเติบโตจำกัดจากมาตรการงดใช้พลาสติกฟอสซิลที่ยังคงเป็นภาคสมัครใจในฝั่งผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญการแข่งขันกับทางเลือกของพลาสติกรักษ์โลกอย่างพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งมีราคาย่อมเยากว่าเม็ดพลาสติกชีวภาพราว 3-4 เท่า

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles